Thursday, July 31, 2008

กิ๊กใหม่....เพื่อนเก่า



polariod land camera one step
นี่แหละกิ๊กใหม่ ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเดินเตาะแตะ

ที่ว่าเป็นกิ๊กใหม่ก็เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเพิ่งจะสั่งโพลาลอยด์มานั่งนิ่่งๆไว้อีกหนึ่งอัน แต่อันนี้เดินไปป๊ะเอาที่ A Touch of Vintage เห็นน่าตาเก๋ดี คนขายเค้าก็ยังไม่แน่ใจว่าใช้ได้อยู่หรือเปล่า แต่ยืนยันว่าเอามาตั้งนิ่งๆแต่งบ้านได้แน่นอนไม่โม้....โอเชงั้น

Thursday, July 24, 2008

ไปทะเลแอตแลนติก


หยุดพักร้อนดูโน้นดูนี่นิด เพราะร่างกายขาดเกลือ คิดถึงน้ำทะเลเมืองไทยสุดๆ สองอาทิตย์ก่อนซูซานโทรมาหาชวนไปนั่งเล่นริมทะเล รีบพยักหน้าหงึกๆ ตั้งแต่อยู่นิวยอร์คมายังไม่เคยไปเหยียบ Long Beach เลย ซูซานกับร๊อบขับรถมารับพานีน่าตัวน้อยมาด้วย ขับรถออกจากแมนฮัตตั้นไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ไปหยุดกันที่บ้านเทียรี่ บ้านเค้าอยู่ห่างจากทะเลแค่สองบล๊อค ไปถึงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำ แต่งานนี้เราขอผ่านเพราะรู้แล้วว่าจะไม่ลงทะเล น้ำยังเย็นเจี๊ยบอยู่เลย แถมสาหร่ายทะเลก็ยังเพียบแค่ไปนั่งเล่นเป็นพอ



ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ไปเที่ยวทะเลครั้งแรกในอเมริกาคือที่ Cape May ในนิวเจอร์ซี่ เป็นเมืองตากอากาศเล็กๆ บรรยากาศของเมืองน่ารัก บ้านในเมืองเป็นไตล์บ้านขนมปังขิงทั้งเมือง ไปถึงต้องงงเต็กกับวิธีการเที่ยวทะเลของคนแถวนี้ เค้าต้องหอบเข้าของกันพรุงพะรัง ทั้งเก้าอี้ชายหาด ร่มชายหาด ถังน้ำแข็งถังเท่าตู้เย็นลากกันไป เราไม่หอบอะไรเลยมีแค่ผ้าไว้ปูนั่งเท่านั้น พอเดินถึงชายทะเลถึงได้รู้ว่าทำไมเค้าต้องหอบกันพรุงพะรัง



เพราะชายหาดก็คือชาดหาดล้วนๆ มีแค่ทรายกับน้ำทะเล ไม่มีต้นไม้ซักต้นเดียว แถบชายหาดกว้างอย่างกับลานเครื่องบิน เค้าถึงต้องขนทุกอย่างลงไปเพื่อการใช้ชีวิตอยู่บนหาดทั้งวัน อยู่แล้วอยู่เลยลงมาชายหาดตอนเช้ากลับขึ้นไปอีกทีก็ตอนเย็น ไม่มีร้านอาหารให้วิ่งขึ้นมาซื้อของกินได้ ไม่มีร่มให้หลบแดด ทุกอย่างต้องเอาลงไป ก่อนเข้าหาดก็ต้องเสียตังค์ $8 ก่อน ถึงจะลงไปนอนผึ่งพุงได้ เรากระเหรี่ยงสองตัวถึงเดี้ยงเพราะไม่มีอะไรเลย ต้องวิ่งไปเช่าร่มชายหาดมากางไม่งั้นได้กลายเป็นแย้แดดแรงแห้งคลุกทรายอยู่ตรงนั้น เสียตังค์อีก $8 ค่าร่ม...โอย สุดท้ายได้แต่นั่งมองชาวบ้านเพราะเราไม่มีอะไรกินกันมีแค่น้ำที่บังเอิญติดตัวตลอด พอหิวแค่หันกลับมาดูเห็นร้านอาหารอยู่ลิบๆ ต้องเดินฝ่าแดดทะเลทรายออกไปอีก เลยตัดใจ แต่ไหนๆก็มาแล้วเอาตัวลงไปจุ่มน้ำทะเลซักหน่อย เล่นเอาร้องเจี๊ยก แดดเปรี้ยงแต่น้ำทะเลเย็นเจี๊ยบ เล่นเอามนุษย์เมืองร้อนอย่างเราสมองเสื่อมเพราะร่างกายสับสน สุดท้ายเราเที่ยวอยู่เมืองนี้กันสี่วันแต่ใช้เวลาอยู่ริมหาดทั้งหมดทั้งสิ้น สองชั่วโมง เวลาที่เหลือปั่นจักรยานดูเมือง ดูประภาคาร เฉี่ยดไปหาดใกล้ๆ แต่ไม่ลงไปนอนผึ่งพุงแล้ว



เที่ยวนี้รู้งาน ไปถึงบ้านเทียรี่ก็จัดแจงหอบของกัน ทั้งเก้าอี้ชายหาดครบคน ร่มชายหาดสองคัน ผ้าปูนั่งอีกหนึ่งผืน แล้วก็กระติกใส่ของกินทุกอย่างลงไป เดินหอบกันไปสองบล๊อกถนนก็ถึงหาด เทียรี่มีบัตรเข้าหาดให้ทุกคนก็เลยไม่ต้องจ่ายตังค์
น้ำก็ยังเย็นอยู่เหมือนเดิม ฟ้าก็ยังครึ้มอยู่ สรุปไม่มีใครได้ลงไปแช่น้ำซักคน ได้แค่เดินเอาเท้าไปแตะ...I'll pass this time. Me Too!



ไว้รอไปนั้งดูดน้ำมะพร้าวริมทะเลอ่าวไทย, กินยำปลาหมึกริมหาดอันดามัน บ้านเราดีสุดๆ

Thursday, July 17, 2008

สุภาพบุรุษเสื้อยืด


ภาพผ่าน

อีกหนึ่งไอเดียจาก Spoon Sisters หลังจากแก้วเพิ่มหนวด (Pick Your Nose Party Cups)ของเค้า
ได้รับรางวัลรางวัลด้านดีไซด์ไปเรียบร้อย มาวันนี้ ผ้ากันเปื้อนเนคไท ผืนนี้ช่วยให้คุณสุภาพบุรุษเสื้อยืดทั้งหลาย ได้นั่งยืดอกกินเข้ากับสาวๆ ได้อย่างสมฐานะ ถ้าสุภาพบุรุษเสื้อยืดคนไหนนั่งกินเข้ากับเราแล้วห้อยผ้ากันเปื้อนอันนี้นะ จะส่งตาหวานให้เบาหวานกินเลย

Thursday, July 3, 2008

Yoshitomo Nara น่ารักที่แอบไว้ที่หน้าร้าย



พยายามนั่งนึกว่าเราเคยคลั่งอะไรที่ถือได้ว่าเห็นเป็นไม่ได้เห็นแล้วต้องชัก เพราะชอบมาก เพราะบางครั้งอยากรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่กับเค้าบ้าง หลายครั้งที่เห็นเพื่อนๆเค้ามี "ของโปรด"
จากที่โน้น ที่นี่ ดูแล้วรู้สึกว่าเท่ดีจัง แล้วก็รู้สึกชมชอบกับเพื่อนที่อุทิศตัว อุทิศใจให้กับ "ของโปรด" เค้า เพราะเค้าจะทำ จะใช้ จะแสดงออกให้เห็นว่าข้าชอบแแบบนี้ และข้าชอบแบบแข็งแรง ทั้งกอด ทั้งกิน ทั้งเอามาทาตัว และหลับนอน

จำได้ว่าเราแทบจะไม่มี ไม่ค่อยเคยโปรดอะไรที่ต้องตามเก็บ ตามกรี๊ด อย่างชอบดูการ์ตูนโดเรม่อน แต่ไม่เคยตามเก็บตัวตุ๊กตา ชอบการ์ตูนนักกี้จอมใจจอมแก่น แต่อ่านเสร็จก็ทิ้ง วันไหนนั่งหน้าหงิก หัวยุ่ง เพราะผู้ใหญ่ไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน ก็จะระบายออกด้วยการนั่งวาดรูปนักกี้ตาหวานในเวอร์ชั่น อีเปรี้ยวตลาดแตก แปะซะจนเต็มฝาบ้าน ก็แค่นั้น หรือนั่งตาห้อยดูหนังอีที แล้วรู้สึกรักมาก แต่เท่าที่จำได้ก็มีแค่พวงจุญแจอีทีนิ้วแดงที่เค้าแจกหน้าโรงหนังมาห้อยกระเป๋านักเรียน ห้อยได้สองวันก็หาย อาจเพราะเราเบื่อเร็ว เคยอยากเป็นคนทันสมัยกับเค้า แต่ทำได้ไม่นานก็รำคาญตัวเอง จนบางครั้งรู้สึกว่าเรานี้ไม่มีอะไรไปคุยกับเพื่อนเค้าได้บางเลย เพราะเรา "ไม่รู้สึกฮิต" เลยได้แต่ดู และฟังแต่ก็ใช่ว่าชีวิตนี้มันช่างแห้ง มันจะไม่มีอะไรที่โปรดเลยเหรอ มีแน่นอนแต่ส่วนใหญ่ของเหล่านั้นเป็นของที่เราแอบมองมานาน ไม่ใช่เห็นปุ๊ปชักทันที ของพวกนี้เราจะชอบไปนานและนานนน

อย่างงานของ Yoshitomo Nara เห็นงานของเค้าครั้งแรกเมื่อหก เจ็ด ปีก่อน อันนี้เป็นการเห็นแล้วปลื้ม ที่ชอบก็คือ character ของเด็กผู้หญิงที่เค้าเพนท์
ง่ายๆคือหลงรัก character น่ารักร้ายของเด็กคนนี้ ตอนนั้นยังไม่รู้จักตัวตนศิลปิน ไม่รู้ด้วยว่าเป็น Character จากการ์ตูนเรื่องไหนหรือเปล่า เค้าฮิตกันหรือเปล่า รู้แค่ว่าเห็นแล้วถูกตา



ก็ได้แค่คิดว่าอีกหนึ่งในคนเขียนการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมด เต็มจนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่ค่อยสนใจตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา Character ต่างๆของญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก แต่ในเคสของเด็กคนนี้มันเป็นแบบอารมณ์..."แอบจ๊ะเอ๋"...เดินๆอยู่ก็เห็นภาพเขียนเด็กคนนี้แปะอยู่หน้าร้านเสื้อผ้า หรือนั่งกินน้ำอยู่เหลือบไปเห็นถ้วยกาแฟเด็กหน้ากรดคนนี้อีกแล้ว อารณ์มันก็เลย...นี่หนูจะตามป้าไปถึงไหนยะ บ้านป้าไม่มีที่ให้วิ่งเล่นหรอกนะ...เหมือนวิญญานเด็กตามหลอกหลอน จนเรายอมแพ้ แล้วก็มานั่งสะกิดสะเกาพี่กูเกินถามว่าศิลปินที่เกิดหนูคนนี้ขึ้นมาคือใคร



นั่งจุ๊กจิ๊กหนุ๊งหนิ๊งกับพี่กูเกินจนพอใจ ได้เห็นหน้าเห็นตาศิลปินแล้วก็ค่อยยังชั่ว อย่างน้อยลูกเค้าก็มีพ่อ(แม่ไม่แน่ใจ)ที่ทำให้เกิดมา
ยิ่งหางานเค้าดู ก็ยิ่งชอบ เพราะงานเค้าง่ายจนหลายคนๆอ้าปากว่างานอย่างนี้ข้าก็เขียนเป็น อ่านความเห็นคนที่พูดอย่างนี้แล้วอยากจะบูชาท่านด้วยกระบองเพชรแช่น้ำปลาจริงๆ อยากจะร้องลิเกเอ่ยความนัยให้ท่านเทวดาทั้งหลายรับรู้ว่า ทุกอย่างที่มันง่ายเวลาดู มันยากเวลาคิดทั้งนั้น



ตอนนี้ Yoshitomo Nara เลยเป็นศิลปินญี่ปุ่นอีกคนที่ทำงานในสไตล์การ์ตูน(สไตล์ที่เราไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่) ที่เราชอบดูงานเค้า นอกนั้นยังนึกไม่ออกว่ามีใครที่ชอบอีก และเป็นการชอบแบบแทรกซึม การชอบแบบนี้จะไม่ทำให้เกิดอาการชักเวลาเห็น แต่เมื่อไหร่ที่เห็นแล้วหัวใจเบิกบาน แล้วการชอบแบบนี้สำหรับเราจะเป็นการชอบไปอีกนาน...วันหนึ่งพ่อเทพบุตรข้างตัวเอ่ยขึ้นมาว่า เค้ารู้แล้วทำไมเราถึงชอบ character ของเด็กคนนี้....เพราะเรามี character เหมือนเด็กคนนี้ ไม่เชื่อลองกลับไปดูรูปตอนเด็กซิ...ไม่เชื่อ!


Wednesday, July 2, 2008

โอ๊ะโอย...ใครรังแกโอลิมปิค

วิ่งโฉบแปล้บเข้าไปใน I believe in Ad ได้เรื่องดีเอาออกมาเคีี้ยวจนได้ เที่ยวนี้พี่ TBWA/FRANCE เค้าเล่นแรงจริงๆ เป็นแคมเปญโปรโมท Human Right ของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนชื่อ Amnesty International เป็น Olympic Campaign ในที่สุดการเมืองก็ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวเข้าไปพันกับกีฬาจนได้...
ข้อความคือ

AFTER THE OLYMPIC GAME, THE FIGHT FOR HUMAN RIGHTS MUST GO ON.

ในฐานะคนเคยทำ ad เห็น ad นี้แล้วอกหักบอกไม่ถูก...มันอึ้ง ซึ้ง นึ่งเหนียว มันมีทั้งความจริง ความไม่จริง ความไม่จำเป็น และความจำเป็น ของทั้งคนทำ ad และเจ้าของผู้สั่งทำ(ขอใบบัวบกไร่หนึ่งจะเคี้ยวให้หมดไร่...เจ็บอก)

สุดท้ายมางงเอาตรงที่ address ใน ad เค้าเขียนว่า Amnesty.com
ในขณะที่ site จริงของ Amnesty คือ Amnesty.org เลยไม่รู้ว่ามันยังไงกันหล่ะหว่า
ขอตัวไปเย็บผ้าแล้วกันนะ




ภาพผ่าน

ทิ้งไว้แค่เงา



เดินผ่านหน้าร้านนี้หลายรอบแล้วแต่ไม่เคยจำได้ว่าคือร่องรอยของร้านอะไรมาก่อน ตอนนี้ปิดตัวลาถนน Elizabeth ไปอีกหนึ่งร้าน รอดูอยู่ว่าร้านอะไรจะมาต่อ ทันทีที่เลือนประตูปิดร้านไปคุณศิลปิน Graffiti ก็ได้พื้นที่แสดงผลงานใหม่ทันที

สมสี

แค่สีที่บังเอิญมาสมกัน


Tuesday, July 1, 2008

คนถ่ายรูป...ตอน...รูปติดบัตร

ไม่ได้ออกตระเวณถ่ายรูปนานมากแล้ว คันมืออยู่ยิกๆ วันนี้ซูซานเมล์มาว่าอยากให้ไปถ่ายรูปนีน่าลูกสาวตัวเล็กให้หน่อย รีบตอบกลับทันที When & Where หลังๆมาไม่ค่อยชอบดูภาพของพวกโปรเท่าไหร่ ชอบหาภาพของ "คนชอบถ่ายรูป" ดูมากกว่า เพราะภาพของคนชอบถ่ายรูปมันจะมี sense บางอย่างอยู่ในรูป ที่ดูแล้ว..."จริง"....(ไม่รู้จะพูดยังไง)

ฺBlog นี้กะไว้แล้วว่าเอาหัวข้อ "คนถ่ายรูป" เข้ามาไว้ด้วย
อย่างตอนนี้ชอบเข้าไปป้วยเปี้ยนใน blog ของ GARANCE DORÉ illustrator อีกหนึ่งคนที่เป็น "คนชอบถ่ายรูป" และชื่นชมการแต่งตัวของผู้คน เห็นแล้วชอบที่เค้ามองอะไรได้ชัดเจนดี เลยขอเอางานของเค้าเข้ามแปะไว้ให้เป็นขวัญและกำลังใจ เพราะชอบ sense ในการมองของเค้าถึงแม้จะไม่ใช่โปรถ่ายรูปแต่ Sense การถ่ายทอด และมุมในการมองมันไม่มีขอบเขตตายตัว บางทีเราแอบคิดว่างานศิลปะมันไม่เคยมีทฤษฎี