Monday, April 26, 2010

เยี่ยมเยียนเลดี้ลิเบอร์ตี้


ตั้งแต่ย้ายถิ่นฐานจากเมืองไทย มาแล่นแต้อยู่นิวยอร์คเกือบจะสิบปีเข้าไปแล้ว เรายังไม่เคยย่างเท้าไปแตะสถานที่ "ต้องไป" ในนิวยอร์คอีกหลายที่เลย เพราะกลัวว่าสถานที่ที่เป็นไอค่อนเมืองเค้าเหล่านั้นจะะพังพาบลงมาอีก....คำกล่าวหาของเหล่าบรรดาเพื่อนๆผู้เป็นที่รักทั้งหลาย ได้ให้ไว้มันยังก้องอยู่ในหู...."เพราะแกคนเดียวเท่านั้นเห็นมั๊ย แค่ตรีนน้อยๆของแกแตะแผ่นดินอเมริกา ไอค่อนความรุ่งเรื่องของเค้าถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาภายในห้าวัน"

คำกล่าวนี้เล่นเอาเราเกือบเห็นด้วย.....เพราะตึก World Trade ถล่มหลังจากเราร่อนลงนิวยอร์คได้แค่ห้าวันเท่านั้น จากวันนั้นมาเลดี้ลิเบอร์ตี้ก็ปิดให้ขึ้นชมอย่างถาวร เพิ่งจะเปิดให้ขึ้นชมได้ใหม่ เมื่อไม่นานเท่าไหร่ เราก็ได้แต่นั่งมองกันจากฝั่งแมนฮัตตั้นจนเป็นความเคยชิน ไม่เคยคิดจะซื้อตั๋วข้ามไปให้ถึงเนื้อถึงตัว.....ถ้าไม่มีเพื่อนมาเยี่ยม และขอให้พาไปเที่ยว


และเพราะมีเพื่อนถ่อร่างมาเยี่ยมจากออสเตรเลีย เราก็เลยเที่ยวไปกับมันซะด้วยเลย.....เพื่อนก็หวังว่าเราคงพึ่งได้ เลยถามอย่างมีความหวัง "แกเคยไปเลดี้ลิเบอร์ตี้แล้วใช่มั๊ย พาชั้นไปหน่อย" เราก็ลอยหน้า ลอยตาตุ่ม ตอบแบบสบายๆ "ไม่เคย....ไหนๆแกกับชั้นก็ขึ้นเนินลงหนองกันมาตั้งแต่สมัยเปรี้ยวแล้ว คราวนี้ลมพัดหวนให้อุตสาห์มาเจอกันอีกในต่างบ้าน ต่างเมือง ก็ต้องไปแถเอาดาบหน้าพร้อมๆกันเหมือนเดิม รู้...ก็รู้เท่ากัน ถ้าจะเสร่อ...เราก็จะเสร่อด้วยกันอีกเหมือนเดิม"

ไม่อยากจะเชื่อว่า การถูกจับคู่ให้เป็นบัดดี้กัน ตั้งแต่วันแรกของการเป็นน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยวันนั้น มันจะยั่งยืนยาวมาจนถึงวันนี้ แถมถึงแม้จะอยู่กันต่างบ้านต่างเมือง ก็ยังกลับมาบรรจบพบเจอกัน ณ จุดจุดหนึ่งบนโลก


และแน่นอน เพื่อนเก่ามันก็ต้องนำมาด้วยเรื่องเก่าๆให้รำลึก...ฮาแตก ฮาแตน กันแบบเดิมๆ แว๊ปหนึ่งของเราก็ไม่วายนึกถึงความรู้สึกครั้งยังเป็นเด็กหญิงผูกผมเปีย ที่คุ้นเคยกับภาพรูปปั้นผู้หญิงหน้าเขียว ใส่มงกุฏ ถือคบเพลิง บนปกสมุดวาดเขียนเล่มเท่าหนังสือพิมพ์ ที่ใครๆก็เรียกว่า...เทพีเสรีภาพ...และรู้แค่ว่าเธออยู่ที่อเมริกา

เป็นภาพมุมสูงถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ เจาะจากมงกุฎลงไป ทุกครั้งที่เราเห็นภาพนี้ เราจำได้ว่าความรู้สึกคือ เราอยู่ใกล้เทพีมาก แทบจะเอื้อมมือไปจับได้ และก็ยังจำได้อีกว่า จู่ๆก็คิดกับตัวเองด้วยความมั่นใจว่าในที่สุดเราต้องได้จับจริงๆ....คิดแล้วก็ทิ้งไว้แค่นั้น ไม่ได้เอามาเป็นความฝัน ที่ต้องไปให้ถึงแต่อย่างใด เพราะเป็นคนไม่ค่อยฝัน


สำหรับเราการสร้างความฝันขึ้นมาตั้งไว้ แล้วต้องพยายามทำให้เป็นความจริง เป็นเรื่องทรมานจิตใจ บั่นทอนอายุขัย เราชอบที่จะไม่ตั้งความฝัน แต่จะขอแค่เดินไปในทางที่เราคิดว่าเราอยากเดิน และมั่นใจว่าเราเดินได้ ยังไงซะก็ต้องเจอจุดหมายที่เราพอใจ แบบไม่ต้องฝัน....สำหรับเราการคิดแค่ว่าเราทำได้ และก็ทำซะ.....เป็นการเดินทางที่ง่าย และมีความสุข กว่าการฝันไว้ แล้วต้องทำให้ได้

เพราะฉนั้นการมาพบปะ ใช้ชีวิตอยู่แห่งเดียวกับเทพีเสรีภาพ บนปกสมุดวาดเขียนตอนเด็กๆ วันนี้ไม่ได้เกิดจากคำปลุกใจ "ฝันให้ไกล ไปให้ถึง" แต่เกิดจากการเดินทาง ที่เรารู้ว่าเราเดินได้ และก็เดินไปเท่านั้นเอง...ไม่ฝันใฝ่ ไม่ตะกาย แค่เดินอย่างสม่ำเสมอ ตามกำลังที่มี.....มันก็ให้ความรู้สึกอิ่มเอมแบบสบายๆได้เช่นกัน


คำเตือน : ฝันให้ไกล ไปให้ถึง....อาจก่อให้เกิดหัวใจวาย เส้นเลือดแตกในสมองได้ ระหว่างการเดินทาง

Tuesday, April 13, 2010

บ้านใหม่ของซูซาน

ห้องครอบครัว

วันเสาร์ที่ผ่านมานั่งรถไฟไกล ไกล ไปบ้านใหม่ของซูซาน ร๊อป และเจ้าหนูนีน่า...ครอบครัวนี้เพิ่งซื้อบ้านหลังใหม่ ในเมืองมอริสเพลน ในนิวเจอร์ซี่ เที่ยวนี่ต้องนั่งรถไฟห่างจากแมนอัตตั้นออกไป หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก็เลยจัดปาร์ตี้เล็กๆ ให้เพื่อนๆมานั่งกิน ยืนเม้าท์ ชมบ้านกันพอหรรษา

บ้านหลังเก่าของซูซานเป็น Studio Apartment ในนิวเจอร์ซี่ ไม่ไกลจากแมนฮัตตั้นเท่าไหร่ ซึ่งก็เหมือนบ้านใกล้เมืองในนิวยอร์คทั่วไป เป็นบ้านฉบับกล่องคอมเพค ซึ่งก็อยู่ได้สบายสำหรับสองคน....แต่ทันทีที่มีเจ้าตัวเล็กขึ้นมาด้วย ที่แค่นั้นไม่พอให้เจ้าหนูนีน่าชักดิ้นชักงอ
ห้องทำงาน

ซูซานเป็นครูสอนศิลปะ พร้อมกับสร้างงานศิลปะของตัวเอง เพิื่อแสดงนิทรรศการขายงานไปด้วย ร๊อปทำงานตัดต่อภาพที่สถานีโทรทัศน์ CBS ส่วนนีน่าจะมีหน้าที่ไปทำเปรี้ยวที่โรงเรียนเร็วๆนี้

บ้านของซูซานจึงมีภาพศิลปะที่ซูซานเขียนไว้ติดไว้ทั่วบ้าน ยิ่งได้บ้านใหม่หลังนี้ ฝาบ้านใหญ่กว่าเดิม พอติดภาพเข้าไปแล้วก็เสริมเด่น เสริมราศีภาพขึ้นมาแบบเต็มตา
ภาพเขียนของซูซาน

ซูซานทาสีบ้านใหม่ด้วยตัวเอง เท่าที่เห็นซูซานดึงสีจากงาน painting ที่ติดอยู่ข้างฝา มาเป็นส่วนหนึ่งของสีทาฝาบ้านได้อย่างงาม ผสมกับสีและรูปร่างของเฟอร์นิเจอร์ทำให้พอดูรวมๆทั้งห้องแล้ว ห้องแต่ละห้องก็เหมือนภาพศิลปะ ที่เป็นสามมิติมีสีสัน รูปร่าง เข้ากั๊นนน




ยิ่งห้องของเล่นของนีน่าเห็นแล้วน้ำลายฉีดออกจากแก้ม เปรี้ยวเขียวมะนาวสุดๆ ตัดกับของเล่นสีแรงๆเกลื่อนพื้น เป็นห้องสีมีสีสันไม่แพ้ห้องอื่นในบ้าน
ห้องของเล่นของนีน่า





ขนาดของบ้านเป็นขนาดกำลังดีสำหรับครอบครัวเล็กๆ สองห้องนอน หนึ่งห้องทำงาน หนึ่งห้องน้ำใหญ่ ห้องครัว ห้องกินข้าว แล้วก็ห้องนั่งเล่นพร้อมเตาผิง มีพื้นที่หลังบ้านให้นีน่าขับรถเล่น ปลูกผัก ซักผ้า ตากผ้า โรงรถสำหรับสองคัน
ห้องกินข้าวติดกับห้องครัว



ได้บ้านที่เหมาะกับครอบครัวก็ต้องแลกกับความสะดวกในการเดินทาง เป็นเรื่องธรรมดา โลกไหนๆก็คงเป็น ถ้าโลกมนุษย์ต่างดาวมีจริง ก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน

ซูซานกับร๊อปต้องเข้ามาทำงานในแมนฮัตตั้น ขับรถกันเข้ามาก็ไม่รู้ใช้เวลาเท่าไหร่ แต่นั่งรถไฟเข้ามาก็ประมาณชั่วโมงกว่า บ้านหลังเก่านั่งรถไฟประมาณสิบห้านาที ส่วนเราสองคนก็คิดว่าถ้าถึงเวลาต้องย้ายออกนอกแมนฮัตตั้น ก็คงเป็นการย้ายอกนอกประเทศกลับบ้านกันไปเลยแล้วกัน อย่าได้ลำบากเดินทางกันอีก
หน้าบ้าน

หลังบ้าน