Monday, November 14, 2011

บอกรัก Marimekko

ยุคนี้รักใครชอบใครก็บอกรักกันออกสื่อไปเลย มิมีต้องอายกันแล้ว วันนี้เลยมาบอกรัก Marimekko เป็นอีกหนึ่งแบรนที่เพียรพยายามส่งตาหวานให้มาอยู่ตลอด เพราะตกหลุมรักลายผ้าน่ารักๆ เก๋ๆไก๋ๆของเค้านี่หล่ะ

เมื่อวานได้แวะไปเดินหาของกินแถวละแวกตึก Flatiron บนถนน 23 เหลือบไปเห็นว่า Marimekko มาเปิดร้านใหม่อยู่แถวนั้นด้วย หลังจากฟาดแซนวิชอิตาเลี่ยนกันจนเต็มพุงก็รีบปรี่เข้าไปเดินสวยๆใน Marimekko ทันทีทั้นใด


Marimekko เป็นแบรนสัญชาติฟินแลนด์ ที่มีชื่อเสียงในด้านผ้าพิมพ์ลาย อายุอานามของแบรนก็ยาวนานมาแล้วพอควร ตั้งแต่เริ่มก็เมื่อ 1951 หลังจากยักย้ายถ่ายมือ จากผู้ก่อตั้ง ไปสู่อีกหลายคน ผ่านเหตุการณ์ล้มลุกคลุกคลาน เหมือนอีกหลายๆแบรนดังที่มีอยู่ จนถึงวันนี้ Marimekko ก็ยังคงเดินอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง แถมยิ่งเดิน ยิ่งเก๋ขึ้นเรื่อยๆ

ความคุ้นเคยระหว่างเรากับ Marimekko ก็คงจะเป็นลายกราฟฟิคดอกป๊อปปี้ (Unikko) อันโ่ด่งดังที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาตั้งแต่สมัยเราเด็กๆ ที่ขยันเปิดหนังสือแฟชั่น BR ของอาอยู่บ่อยๆ



แฟชั่นเสื้อผ้าในยุคนั้นต้องมีเสื้อผ้าลายดอกป๊อปปี๊ใหญ่ปังของ Marimekko ลงหนังสือแฟชั่นกันให้เห็นอยู่บ่อยๆ จากลายผ้าดอกป๊อปปี๊ของ Marimekko ผ่านมาถึงยุค 70 ก็มีภาพพิมพ์ดอกไม้ของ แอนดี้ วอร์ฮอล์ (Andy Warhol) ที่มาตอกย้ำความจำให้เด็กเรียนศิลปะได้จด ได้จำ ความงามของลายกราฟฟิคที่ถูกตัดทอนจากธรรมชาติ กลายมาเป็นศิลปะป๊อปอาร์ตแสนโด่งดังในยุคนั้นๆ

เหตุที่ทำให้เราส่งตาหวานให้แบรนนี้ก็เพราะความหลงรักในงานกราฟฟิคของเค้าล้วนๆ เป็นงานกราฟฟิคที่ตัดทอนออกมาจากเส้นสาย รูปร่าง จากธรรมชาติ ต้นไม้ ใบหญ้า ภูเขา นก ม้า ไก่ กา ต่างๆ....นักเรียนที่เรียนศิลปะต่างรู้ดีว่าหลักการตัดทอนเส้นสาย และรูปร่าง จากธรรมชาติ ให้ออกมาเป็นเส้นสายที่เรียบง่ายไม่ยุ่งยากวุ่นวาย แถมดูดี ดูเป๊ะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อทำออกมาได้แล้ว ก็มักจะได้ใจจากคนที่ชื่นชอบงานแบบนี้ได้ไม่ยากเลย



จากความเรียบง่าย แต่ไม่จืดชืดของลายผ้าก็มาถึง ความเรียบง่ายทางด้านแฟชั่นในการออกแบบเสื้อผ้า ล้วนแล้วแต่มีสไตล์โดนใจ ผู้มีใจง่ายๆ อย่างเราแบบเต็มๆ เสื้อผ่้าของ Marimekko จะตัดเย็บจากผ้าในลวดลายของ Marimekko  เอง เป็นสไตล์ทรวดทรงที่เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ไม่กรุยกราย ไม่เยอะ ไม่เลอะ ในแง่ของการออกแบบ และตัดเย็บ....แต่จะเยอะเอาก็ที่ลวดลายของผ้านั้นๆ....ซึ่งอันนี้ส่วนตัวชอบมาก



มันเป็นความบังเอิญที่เมื่อวานได้เข้าไปเดินทอดน่องในร้าน Marimekko เพราะตั้งใจว่าจะไปเดินหาของกินอร่อยๆทีตลาดอิตาเลี่ยน ปรากฎว่าคนเยอะมาก เดินแล้ววิงเวียนวุ่นวายเลยหาของกินให้เสร็จแล้วก็เดินออก หันไปเห็นว่า Marimekko มาเปิดร้านใหม่อยู่ใกล้กัน จึงเกิดอาการดีใจเหมือนได้ทอง เข้าไปเดินตาวาวดูของในร้านอยู่นานสองนาน โดยเฉพาะในส่วนของผ้า แทบอยากจะกวาดออกมาให้ทุกลาย ทุกชิ้น แต่..........ราคาหลาละ 45 เหรียญ หรือประมาณ 1300 กว่าบาทต่อหลา เป็นผ้าคอตต้อน 100 เปอร์เซ็น

ทุกวันนี้ถ้าซื้อผ้าราคาเกินหลาละ 8 เหรียญนี้ก็จะเป็นจะตายเอาให้ได้แล้ว.....45 เหรียญต่อหลา ทำให้หยักสมองคลายตัวไปหนึ่งหยัก เพราะคิดไม่ตก....แต่ก็จะชื่นใจมากถ้าโซฟาเราจะมีผ้าคลุมลายงามๆแบบนี้




เลยเดินลูบเดินคลำ ส่งตาหวาน น้ำหมากหกกันอยู่ตรงนั้น แล้วก็ไปเดินดูของอย่างอื่น ทั้งเครื่องเซรามิค เครื่องนอน ของแต่งบ้าน กระเป๋า รองเท้า ถุงเท้า ถุงน่อง รวมไปถึงเสื้อผ้า ทั้งหมดใช้ลายกราฟฟิคที่มีอยู่ในลายผ้ามาออกแบบสำหรับสินค้านั้นๆ....เล่นเอาธาตุไฟแทบแตก


เดินทำใจจนมาหยุดอยู่ตรงส่วนของราวเสื้อผ้า ก็อยากจะกวาดให้หมดราวอีกแล้ว สอยออกจากราวมาทาบตัวส่องกระจก แล้วหันไปทำตาละห้อยใส่สามี สามีเกิดอาการไม่รับรู้เรื่องราวขึ้นมาโดยกระทันหัน


เสื้อผ้าของ Marimekko ล้วนแล้วแต่เป็นแบบที่มีรูปทรงง่ายๆ ไม่มีรายละเอียดยุ่งยาก ดูแล้วทำให้นึกถึงเวลาเราวาดเสื้อผ้าตุ๊กตากระดาษตอนเด็กๆ ชุดทรง A มีคอมีแขน ก็เท่านั้น แต่เพราะลายผ้าของเค้าที่มีเรื่องราวมากมายอยู่แล้ว มันเลยทำให้เสื้อผ้าทรงง่ายๆ ดูน่าสนใจขึ้นได้อย่างไม่ยาก

มาถึงตอนพลิกป้ายราคาดู ถึงได้จิตสว่างบรรลุธรรม ว่าเราลงทุนซื้อผ้าเค้าแล้วตัดเป็นเสื้อ เป็นชุด ใส่เองดีมั๊ย 45 เหรียญได้หนึ่งหลา กับ หนึ่งชุด 185 เหรียญ งานนี้น่าจะเป็นไปได้มากกว่า....อึ่ม! น่าสน

ภาพจาก Streetfsn

ภาพจาก Streetfsn

ถึงวันนี้ไม่ใช่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่หลงไหลในสีสันของ Marimekko ผู้ชายวันนี้เค้าก็ขอเฉิดฉายอย่างแข็งขัน กับลายผ้าร่าเริงของ Marimekko แล้วเหมือนกัน....ว่าแล้วเราก็ขอเริ่มจาก tote ลายน่ารักๆเค้าก่อนก็ได้ เห็น tote ที่ไหน เสียตังค์ที่นั้น....เสียตังค์เพราะชอบของเค้า

Wednesday, October 5, 2011

ริมทางเดิน


หายหน้าหายตัวไปจากบล๊อคนานมาก ด้วยเพราะหลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปฉับพลัน ที่ส่งผลต่อการเต้นของหัวจิตหัวใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกถึงการสูญเสียแบบซึมลึก เพิ่งได้สำนึกว่าในชีวิตที่ผ่านมา ความเศร้าที่เราคิดว่าเศร้า มันไม่เศร้าได้ครึ่งหนึ่งของความเศร้าที่ต้องเสียคนที่เรารักสุดหัวจิตหัวใจไปจนเกินมือเอื้อม...

ไม่ว่าชีวิตมันจะนำพาเราไปในรูปไหน ทางใด เราก็ยังคงต้องก้าวเดินกันต่อไป....หลังจากหยุดการเคลื่อนไหวมาพอประมาณ เราก็เลยต้องขยับลุกขึ้นมาเดินไปตลาดอย่างที่เคยๆ กับริมทางเดินอย่างที่เคยๆ













Friday, July 15, 2011

ร้อน




ร้อน ร้อน ร้อน....นุ่งผ้านิ่มๆ บางๆ ปลิวๆ ให้มันหายร้อน

Sunday, June 26, 2011

Food Trucks นิวยอร์ค


อีกหนึ่งเทรนในนิวยอร์คที่ทุกวันนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนักเดินถนนนิวยอร์คไปแล้ว นั้นคือรถขายอาหารหรือ food truck สำหรับเรารถขายอาหารคันแรกที่ทิ่มตาเรา ทำให้เราจำได้แจ่มคือ The Mudtruck เจ้ารถขายกาแฟหน้าบ้านสีส้มแปร๊ด...เมื่อประมาณสิบปีก่อน จนทุกวันนี้รถบรรทุกโคลนกันนี้ก็ยังคงจอดอยู่ที่เดิม ถึงแม้จะได้แบ่งตัวแตกยอดไปเป็นร้านกาแฟเก๋ๆอีกหนึ่งร้านแล้วก็ตาม

แต่เดิมรถขายอาหารพวกนี้ยังไม่ไม่มากในนิวยอร์ค ถ้าเทียบกับรถลากขาย hot-dog ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมือง แต่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา เริ่มรู้สึกว่าเดินผ่านรถพวกนี้มากขึ้น


รายการทีวีจำพวกแนะนำเทรนต่างๆในนิวยอร์คก็เริ่มนำเสนอรถขายอาหารพวกนี้มาเรื่อยๆ เพราะเรื่องของเรื่องก็คือ รถพวกนี้ใช่แต่ว่าจะเป็นรถขาย hot-dog ถั่วทอดแต่อย่างใด แต่ก็จะเป็นอาหารที่หากินได้เฉพาะในร้านอาหาร....เราคนไทยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับอะไรพวกนี้เพราะ เรามาจากที่ที่อาหารการกินมีอยู่ทั่วถนน ทั่วฟุตบาท ริมทางเดิน

แต่สำหรับคุณฝรั่งทั้งหลาย รถขายอาหารแบบนี้เป็นเครื่งอปรุงเพิ่มรสชาติให้กับชีวิตที่เป็นระบบ ระเบียบ ของพวกเค้าอย่างเอร็ดอร่อย เพราะไม่ต้องมีพิธี จองโต๊ะล่วงหน้าเดือนสองเดือน หรือต้องแต่งตัวให้พริ้ง....พิธีเดียวที่มีคือการต้องเข้าแถวรอเท่านั้นเอง



ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา food truck เริ่มเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ปะเภทของอาหารที่ขายก็มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจีน เกาหลี แม๊คซิกัน เวียดนาม ทำกันสดๆบนรถ รถขาย bakery ก็นวดแป้งอบกันสดๆบนรถ

มันกลายเป็นช่องทางใหม่สำหรับ คนที่อยากเริ่มธุรกิจอาหารของตัวเอง แต่ยังไม่มีแรงเปิดร้านหรือยังไม่อยากทีให้เป็นเรื่องเป็นราว พ่อค้า แม้ค้าประจำรถส่วนใหญ่ก็คือคนวัยหนุ่มๆสาวๆ วัยแสวงหา


คนเหล่านี้มาจากหน้าการงานที่ต่างกัน ที่ต้องการพลิกผันตามฝันของตัวเอง บางคนก็โปกมือลา wall street มาขับจับตะหลิว พลิกเนื้อย่างกันอยู่บนรถเหล่านี้ บ้างก็เพิ่งกระโดดออกมาจากสถาบันสอนทำอาหารต่างๆ เพื่อมาเป็น chef บนรถอาหารของตัวเอง

อย่างที่ว่าร้านอาหารพวกนี้ติดล้อ และมักจะจอดไม่เป็นที่ เพราะกฏการจอดข้างถนนของเมืองนิวยอร์คมีมากมาย เพราะฉนั้นลูกค้าประจำของรถอาหารเหล่านี้จึงต้องคอยเช็คทวีตเตอร์ของแต่ละรถ ว่าวันนี้เค้าจะจอดที่ไหนเวลาไหน แล้วลูกค้าก็ตามล่าเอา....มันก็เป็นอีกหนึ่งของวัฒนธรรม on line ที่ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนจะกิน

Wednesday, June 15, 2011

ปั่นให้สวย


สิ่งหนึ่งที่น่ามอง น่าชม บนถนนนิวยอร์ค ก็คือสาวๆนักปั่นสองล้อ....ถือได้ว่าเป็นสีสันอีกอย่างหนึ่งของเมืองได้อีกเหมือนกัน เพราะสาวๆนักปั่นเหล่านี้ เธอปั่นจักรยานด้วยเสื้อผ้า หน้าผม เต็มยศเต็มเครื่อง สาวๆเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ปั่นจักรยานเพื่อการออกกำลังกาย แต่เธอปั่นเพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเธอ คือหนึ่งในยานพาหนะ ที่เธอเลือกที่จะไปไหนมาไหนด้วย


และเมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เธอก็เลยปั่นจักรยานด้วยเสื้อผ้า หน้าผม ตามแบบชีวิตประจำวันของเธอ จะเป็นกระโปรงบานปลิวสะบัด คู่กับรองเท้า Louboutin สูงสิบชั้น กระเป๋า Hermes คล้องไหล่....เธอก็หาได้แคร์ว่่าจะต้องขึ้นลิมูซีนไปไหนมาไหน เธอก็ยังคงจับจักรยานคันเก่งของเธอมาปั่นพรื๊ดๆให้ขนตาปลอมสะบัดพริ้วไปทั่วเมือง

บางคนการแต่งตัวกับรูปลักษณ์จักรยานถ้าดูแยกกันจะขัดแย้งกันอย่างแรง เพราะจักรยานของบางสาว เน่าเขรอะ สีเปรอะ ตระกร้าเบี้ยว แหว่งๆขาดๆ แต่เมื่อดูรวมกันมันช่างเก๋ในสายตาเรา



ตั้งแต่เริ่มแรกที่ย้ายมานิวยอร์คจนปัจจุบัน เราสังเกตได้ว่าเทรนการปั่นจักรยานในนิวยอร์คเริ่มเปลี่ยนไปในแนวแฟชั่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน สังเกตได้จากร้านจักรยานที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย บัดนี้ได้อวบอ้วน ขยับขยายใหญ่ขึ้น จักรยานในร้านก็มากขึ้น แถมแบบเก๋ๆไก๋ยั่วน้ำลายก็มีมากขึ้น

ตัวเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้นิยมการปั่นจักรยาน ทุกครั้งที่ได้ใช้ชีวิตอยู่บ้านต่างจังหวัด เราเลือกที่จะไปไหนมาไหนกับจักรยานแทนรถใหญ่ พอมาอยู่นิวยอร์คเห็นถนนหนทางแล้วก็อยากใช้ชีวิตอยู่กับจักรยานอีก มาถึงเห็นจักรยานคุณสามีจอดนิ่งอยู่ก็ตาโต ว่าได้มีจักรยานปั่นแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังจอดนิ่งอยู่เหมือนเดิมเพราะว่าการแบกจักรยานขึ้นลงตึกชั้นสามทุกครั้งที่จะใช้ มันเกินกำลังสาวแข็งแรงอย่างเราจริงๆ




แต่ก็ยังไม่วายอยากปั่นอยู่ดี ทุกวันก็ยังเลียบๆเคียงๆร้านจักรยานตลอด เพื่อหาคันที่ไมันไม่หนักเกินการแบกขึ้นตึก เพราะคันของคุณสามีหนักอึ้ง ไอ้จะให้จอดไว้ริมฟุตบาทอย่าได้หวัง เพราะโจรขโมยจักรยานที่นี่เยอะยิ่งกว่าปลวก




ส่วนใหญ่คันที่ถูกใจก็น้ำหนักเยอะทั้งนั้น เพราะราคามันไม่แพงมาก ไอ้ที่น้ำหนักน้อยก็ราคาเท่ากล้องที่อยากได้ใหม่อีกหนึ่งตัว.....งานนี้เลย เอาตาตุ่มพาดหน้าผาก เพราะว่าจะกล้องใหม่หรือจักรยานเก๋ๆใหม่ดี...เกิดเป็นมนุษย์โลภมากนี่มัันวุ่นวายกับความอยากซะจริงๆ







ภาพจาก Fashion Street Photographer Bloggers: The Sartorialist , Garance Dore' , Hanneli