Saturday, November 17, 2012

อยูู่มืดๆกับแม่นางแซนดี้



   เท่าที่จำได้ชีวิตในเมืองไทยที่กระโดดโลดเต้นมาได้ยาวนานถึง 28 ปี ยังไม่เคยได้โลดโผนโจนทะยานฝ่าพายุ ลุยสุนามิ ตะกายหนีกระสุนปืน หรือลอยห่วงยางหนีน้ำท่วมต้นคออะไรกับชาวบ้านเค้าเลย ทุกครั้งที่เกิดเหตุใดๆซึ่งจะกลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของประเทศ เราต้องมีอันให้ไม่อยู่ในพื้นที่นั้นๆซะทุกเหตุการณ์....ทั้งๆที่อยากเป็นหนึ่งในเหตุการณ์กับเค้าใจจะขาด เพราะในชีวิตนี้จะได้มีเรื่องตื่นเต้นไว้โม้กับเด็กๆให้น้ำหมากหกยามแก่เฒ่ากับเค้าบ้าง แต่กลับเป็นว่าทันทีที่ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมากระโดดกิ๊ง ก่อง แก้ว ที่ต่างบ้านต่างเมือง กลับได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ได้เป็นประวัติศาสตร์โลกกับเค้าเลย

   แค่ห้าวันที่ฝ่าตีนน้อยๆแตะแผ่นดินอเมริกา และอยู่ในช่วงกำลังทำความคุ้นเคยกับอากาศหายใจในเมืองนิวยอร์ค เครื่องบินสองสามลำก็บินทะลุตึก World Trade อีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำประเทศเค้า ให้ร่วงถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา ยังจำได้ถึงความรู้สึกเหวอกับภาพที่เห็นในวันนั้น ที่เรายืนดูอยู่บนดาดฟ้าตึกอพาร์ทเม้น มันแทบไม่เชื่อสายตา เพราะมันไม่ต่างกับฉากในหนังอย่างไรอย่างนั้น ใจหนึ่งยังแอบคิด บ้าไปแล้ว พ่อสปีลเบอร์คจะมาลงทุนสร้างฉากกันขนาดนี้เลยเหรอ แต่มันก็คือความจริง....เหตุการณ์นี้ถือได้ว่าเป็นหัวกะทิข้นๆ ที่จะกลายเป็นเรื่องเล่าสุดยอดน้ำหมากหกให้เหลนๆฟังกันแล้วหนึ่งเรื่อง







   ผ่านมาอีกสิบกว่าปี ถึงวันนี้ก็ได้เรื่องใหม่ให้เก็บสะสมไว้ในหมวดหมู่เรื่องเล่าน้ำหมากหกกันอีกครั้ง....เมื่อพายุเฮอร์ริเคนนามใสซื่ิอว่าแซนดี้ ตัดสินใจเลี้ยวหักมุมเข้ามาเดินเล่น แวะช็อปปิ้งละแวกนิวยอร์ค เธอมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง หอบทุกอย่างที่อยากหอบไป แถมเอายังใจกว้างเป็นแม่น้ำ หอบน้ำทะเลทั้งทะเลมาฝากคนบนบกกันแบบไม่ถามกันเลยว่าต้องการกันมั๊ย หล่อนช่างไม่มีมารยาทเอาเสียจริงๆ






   สิ่งหนึ่งที่เราต้องก้มหัวคาราวะให้ประเทศนี้คือการพยากรณ์อากาศของเค้า....เป๊ะมาก เป๊ะกันเป็นนาทีเลยทีเดียว ทำให้เราสามารถวางแผนตีลังการับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที เราเลยตั้งหน้าสู้กับนังแซนดี้ด้วยเสบียงกรังเพียบพร้อมอย่างที่เค้าบอก ว่าให้อยู่ได้แบบไม่มีไฟฟ้าให้ได้ห้าวัน ก็คิดไว้แล้วว่าไม่มีไฟยังสู้ได้แน่นอน ขอแค่อย่าตัดน้ำ ตัดแก๊ซทำกับข้าวแล้วกัน

  ทันทีที่นังแซนดี้เหยียบนิวยอร์คอีกชั่วโมงถัดมาไฟก็ดับอย่างว่าทันที ดาวน์ทาวน์แมนฮัตตัน ตั้งแต่ถนน 34 ยันสุดเกาะมืดสนิทในพริบตา แม่จ๋า....แม่เจ้า....มันเงียบและหลอนสลับกับเสียงหอนของลม และเสียงหวีดของไซเรนจากรถตำรวจ และรถพยาบาล สลับกันร้องยิ่งกว่าวงประสานเสียง





   งานนี้โสตประสาทที่ทำงานได้เด่นเด้งอยู่ประสาทเดียวคือหู เพราะประสาทตาไม่มีอะไรให้ทำมากแล้ว นอกจากใช้นั่งนับตีนกาซึ่งกันและกันกับคุณสามี....ท่ามกลางแสงเทียน....งานนี้เลยต้องกลับไปเป็นสาววิทยุทรานซิสเตอร์พกพา ใส่เสื้อคอบัว แขนตุ๊กตาพองๆ นั่งหมุนหาคลื่นแกรกๆ เพื่อจะได้ฟังข่าวสาร ให้ทันเหตุทันการณ์จะได้ทำตัวถูก....และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของมนุษย์ถ่ำบนเกาะแมนฮัตตันในยุค 2012





    เหตุการณ์การดำรงค์ชีวิตโดยปราศจากไฟฟ้าครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ตาสว่างของชีวิตอีกเหตุการณ์หนึ่งก็ว่าได้ เพราะความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆกัน.....ความไม่แน่นอนของชีวิต ของธรรมชาติ การดำรงค์ชีวิต ต้องคิดวิธีพลิกแพลงเพื่อการเอาตัวรอด และการได้รู้ว่าถ้าเราวางใจ วางชีวิต เอาไว้กับเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ เราเสียเปรียบธรรมชาติมากเท่านั้น





   จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราต้องถอยหลังลงไปหนึ่งก้าว แล้วพยายามย้อนกลับไปในยุคโลเทคให้ได้ไกลที่สุดเท่าที่จะจำได้ เพราะคิดว่าถ้าเราสามารถย้อนชีวิตกลับไปให้ใกล้กับความเป็นไปของธรรมชาติได้ใกล้ที่สุด เราก็จะเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติได้มากเท่านั้น