
หลังจากหน้าด้าน หน้าทน รับแขกบ้าน แขกเมือง ด้วยห้องสุขา(หมดอารมณ์) มาพอประมาณณณณณณ ปีนี้จึงได้ถึงเวลาแต่งหน้า ทาตา ลงแก้ม ใส่ต่างหู ให้น้องเน่าห้องนี้ซะที....ก่อนที่ท้องมันจะผูกไปมากกว่านี้
ก่อนอื่นต้องขอออกแขกท้าวความซะก่อนหนึ่งยก ตามธรรมเนียมก่อนลิเกจะลงโรง....ว่าไปไงมาไงที่คนสวยคนหล่ออย่างเราถึงได้มีห้องส้วมที่เน่าได้ใจขนาดนี้.....ขอยืดคอสั้นๆ เชิดคางกลมๆ และกล่าวก้องว่า...มันไม่ใช่ความผิดของอิชั้น ทั้งหมดทั้งสิ้น....ที่เกิดมาหน้าสวยแต่มีส้วมเน่าไว้ในครอบครอง มันคือความผิดของความเก่าและแก่ของอพาท์เม้นที่เช่าเค้าอยู่ล้วนๆ (ปัดกันสุดแรงเกิด)
ห้องที่อยู่เป็นขนาด สตูดิโอ อพาร์ทเม้น เนื้อที่คร่าวๆประมาณ 300 กว่าๆตารางฟุต ซึ่งถือว่าเป็นบุญมากแล้วทีี่มีพื้นที่อยู่ขนาดนี้ในย่านความสะดวกในแมนฮัตตั้น ตึกที่อยู่เป็นตึกเก่าแก่ อายุประมาณร่วมร้อยกว่าปีเข้าไปแล้ว เท่าที่รู้มาเคยเป็นตึกที่เป็นโรงแรมมาก่อน แล้วมาซอยย่อยทำเป็นตึกอพาร์ทเม้นในที่สุด เจ้าของตึกคนปัจจุบันคืออาแปะอายุก็ประมาณแปดสิบกว่าๆที่เราทึ่งเค้ามาก ที่สามารถทำมาหากินจนเป็นเจ้าของตึก ที่ทุกวันมูลค่ามันเพิ่มขึ้นทุกวัน เราจะนึกเสมอว่าแปะต้องทำขนาดไหนถึงได้เป็นเจ้าของตึกในย่านนี้ ในเมืองที่ได้ถือว่าแผ่นดินแพงดินอันดับโลก

ทุกทีเราจะเห็นแปะใส่ยูนิฟอร์มเชฟร้านอาหาร ที่แปะเป็นเจ้าของอยู่อีกหนึ่งที่ เดินถือถุงก๊อปแก๊ป เข้ามาตรวจตึกอยู่บ้างเป็นบางครั้ง แต่ทุกวันนี้แปะให้บริษัทที่ทำการรับบริหารตึก มาเป็นผู้ดูแลแทน....และนี่ก็ถือเป็นจุดเล็กๆอีกหนึ่งจุดที่ทำให้อิชั้นมีห้องน้ำเน่ามาเชิดชูหน้าตาแก่ผู้พบเห็น
อพาร์ทเม้นนี้มีสัดส่วนการจัดพื้นที่ ที่ถือได้ว่า...พิการ...ในแง่ของการจัดสรรค์พื้นที่ใช้สอย ซึ่งจะไม่ของลงรายละเอียด เพราะเราเชื่อว่า แปะเค้าคงไม่มีอารมณ์มาละมุนละไมกับการตกแต่งภายในอย่างแน่นอน เพราะเอาสมองไปหาวิธีเคาะกะทะ โขกตะหลิว กวาดเงินเข้าคลัง สร้างเนื้อ สร้างตัวเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า....ไม่เป็นไรค่ะแปะหนูอยู่ได้ ขอแค่หนูได้ทาฝาบ้านแปะให้พอหายคันได้เท่านั้นก็พอ
เราจึงได้อยู่ห้องแนวๆ...ที่มีห้องอาบน้ำอยู่กลางห้อง และห้องระบายความทุกข์อยู่สุดมุมห้อง แยกกันคนละที่...หลังจากแปะจ้างบริษัทมาดูแล เค้าก็ทำการปรับปรุงตึกใหม่ รื้อท่อต่างๆใหม่ หนึ่งในท่อนั้นอยู่ในห้องสุขาไม่รมณ์ของเรา เค้าก็เลยต้องเข้ามารื้อ เพื่อโชว์ให้เห็นว่าการทำให้พื้นที่ให้เละเหมือนสงครามส้วมระเบิด มันเกิดขึ้นได้ง่ายจัง....จากห้องที่เก่ามออยู่แล้ว เลยการเป็นห้องที่เละเป็นปื้นๆ หย่อมๆ เช็ดยังไงก็ไม่หมด เพราะฝาเป็นสีขาว

ถ้าใครเป็นโรคกลัวความแคบ อย่าได้เสี่ยงมาระบายความทุกข์ในห้องนี้บ้านอิขั้นนะคะ คุณอาจคอพับ คออ่อน พังพาบคาคอห่านติดอยู่ข้างในเพราะหายใจไม่ออก.....ห้องนี้กว้างยาวแค่ 1 เมตร x 70 เซน พื้นถึงเพดานสูง 3 เมตรกว่า...มันคือห้องทรงกระบอกไม้ไผ่....ภาพในอดีตคือห้องสีมอๆ มีคราบโคลนเปื่อนเป็นจุด คราบน้ำที่รั่วจากหลังคาเป็นสาย....ช่างสวยงามหาที่ไม่ให้ติเป็นไม่มี....จุดที่สาหัสที่สุดคือฝ้าหลังคา
มันเป็นฝ้าในคืนฮาโลวีน....เพราะเห็นแล้วหลอน ทั้งคราบน้ำ ร่องรอยโฟมอุดช่องว่างที่เกิดแข็งตัวอยู่ในสภาพจะย้อยก็ไม่ย้อย ที่ผ่านมาจะเข้าไปใช้ห้องนี้แบบสงบเสงี่ยมเจียมตัว ก้มหน้าก้มตางุ๊ดๆเข้าไป ขืนเชิดหน้าลอยคอเข้าไปป๊ะกับฝ้าหลังคา ไอ้ที่กำลังทุกข์อยู่แล้วจะได้ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก

ก่อนหน้าร้อนจะหมดปีนี้เราเลยตั้งมั่นว่าจะเสริมงามให้ห้องเล็กๆอันน่าสงสารห้องนี้ซะที สงสารแต่แขกบ้าน แขกเมือง ที่ต้องเข้ามามีประสบการณ์หลอนกับห้องระบายทุกข์บ้านเรา เข้ามาหายใจไม่ออก แถมต้องขนลุกเกรียวกันอีก
ข้อจำกัดของเราในการแต่งหน้า ทาฝา ครั้งนี้ก็คือ
- ไม่ลงทุน...จะไม่มีการซื้ออะไรเข้ามาตกแต่งใหม่ๆทั้งสิ้น นอกจากสีทาฝา เพราะของเก่าที่มีอยู่ไม่พอ
- ไม่แตะต้อง รื้อโครงสร้างใดๆทั้งสิ้น...จะไม่มีการทุบฝา พังฝ้า ขุดกระเบื้องใดๆ เพราะไม่ใช่บ้านเรา
- ผลที่ออกมาต้องเหมาะเจาะกับรสนิยม...เพิ้งศรี มณีแดง...ของเรา

ว่าแล้วก็ลงมือ...เราเลือกทาฝาด้านที่กว้างที่สุดหนึ่งด้านด้วยสีแดงแร๊ดแปร๊ดดด เพื่อเพิ่มมิติให้ขนาดห้องแคบๆทั้งหมด แทนที่จะเป็นสีขาวทั้งสี่ฝาเหมือนเดิม ส่วนฝาที่เหลือก็ทาสีขาวใหม่ทั้งหมด....เพราะคิดว่าสีเหมือนกันทั้งสี่ฝาในห้องแคบ ยิ่งทำให้ห้องแคบบีบหัวใจหนักเข้าไปอีก

ส่วนนังด่าง....ฝ้าเพดาน เราก็จะไม่เอื้อมมือไปแตะต้องใดๆทั้งสิ้น ปล่อยให้มันหลอนตัวมันเองไปยังงั้น เพราะในที่สุดก็จะไม่มีใครได้เห็นหน้าค่าตามันอีก
เราทำการปิดปังมันทั้งฝ้าด้วยผ้า cotton สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงเข้ม ที่เราจัดการกระทืบด้วยจักรไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตอกตาไก่สี่มุมไว้แขวนกับตะขอ แล้วส่งเด็กโข่งขึ้นบันไดไปเกี่ยวให้เสร็จสรรพ...เราเย็บให้ผ้ามันใหญ่กว่าขนาดของฝ้า เพราะต้องการให้มันห้อยแล้วย้อยลงมา ช่วยดึงฝ้าให้ต่ำลงมาหน่อย

ส่วนอีกฝาก็เอากระจกกรอบขาวทรงสูงยาว (ราคาถูกจากเคมาร์ท) ที่มีอยู่แล้ว บังเอิญชื้อไว้ว่าจะใช้กับที่อื่น เอามาแขวนฝานี้ซะ เพื่อเพิ่มมิติทะลุกันอีกหนึ่งทวิภพ อีกฝาตรงข้ามก็แขวนภาพสีน้ำมันแบบกล้วยๆที่เราเพ้นท์ไว้ เอาแขวนไว้พักตาเหมือนเดิม
ข้าวของรกๆที่เคยอยู่บนหิ้งนี้ก็กวาดลงตระกร้าไปไว้ที่อื่น ไม่ก็ลงถัง ส่วนมากเป็นพวกยา แล้วก็เอาของมาวางทำงามไว้พอประมาณ ต้นไม้ที่จะอยู่รอดในห้องนี้ได้ก็คือต้นไม้พลาสติกเท่านั้น เพราะมันไร้ซึ่งแสงธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้น


ส่วนที่เหลือพวกท่อน้ำเล็กๆ ที่พาดไปพาดมา ก็ปล่อยเปลือยเอาไว้อย่างนั้น เพราะทำอะไรไม่ได้ เด็กโข่งถามจะทาสีซะเลยดีมั๊ย เราว่าไม่ต้องหรอกปล่อยให้มันดิบไว้ไปตัดกับอารมณ์ของห้องแล้วกัน ไฟก็ยังเน่าอยู่ ไว้มีเวลาไปเดินตลาดเห็บเหาถ้าเจอโคมถูกๆซักเหรียญ สองเหรียญ ค่อยซื้อมาเปลี่ยน
และแล้วห้องระบายความทุกข์ที่เคยเน่าของเรา ก็งามเปล่งปลั่ง ขึ้นมาด้วยสีสองถัง ไร้ซึ่งคราบไคลกวนอารมณ์ ส่วนไอ้ที่เหลือๆอย่างกระเบื้องเก่าแล้ว พื้นกระเบื้องไ่ม่งาม อันนั้นก็ทำใจรับไป....

เสร็จไปอีหหนึ่งโปรเจค....อีกโปรเจคที่เหลือคือ ทาสีส่วน bunk bed ให้เสร็จทันก่อนหนาวมา จะได้ขึ้นไปนอนโก้งโค้งอุ่นๆสบายๆเวลาอากาศหนาวๆ
กว่าคุณจะเท้าความจบ ดิชั้นรอดูรูปกันจนเหนื่อย
ReplyDeleteคุณ... พี่ชายหน้าบ้านคนนั้นคือใคร บอกมานะ นึกไม่ออก
ReplyDeleteคลับคลายคลับคลา แต่จำพี่นุ่นไม่ได้หรอก รู้แต่ว่าจำร้านดอกไม้ได้ ตอนนี้ร้านดอกไม้ไม่อยู่แล้ว ลืมไปเลยนะเนี่ยว่าตรงนั้นเคยมีร้านดอกไม้ คิดถึงบรรยากาศเก่าๆนะ ชุมพรเปลี่ยนไปเยอะมากเลยปุย
ReplyDeleteคุณแม่ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับเมืองไทยอีก
โอ้... แจ่มแจ๋วมากเลยเต็ง
ReplyDelete