Tuesday, December 21, 2010

ความสุข...ส่งได้ทุกวัน


ผันตัวเองเป็น elf หัวฟู ปั่นงานให้แซนต้ามาเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ มันสุดๆ....ทำกันไม่รู้สึกเหน็ด รู้สึกเหน่ือย เริ่มงานทันทีที่ลืมตา เลิกงานอีกทีก็เมื่อง่วงนอนเต็มๆ เพิ่่งจะมารู้ซึ้งเอาเต็มๆกับคำว่า คนเราเมื่อทำงานที่เราชอบ เรารัก จะไม่รู้สึกว่ามันคืองาน เพราะเราเองไม่รู้สึกถึงการคอยเวลาให้เลิกงาน หรือการตื่นขึ้นมาแล้วอิดออดไม่อยากไปทำงานอีกเลย เพราะงานนี้ยิ่งทำ ยิ่งมัน ยิ่งสนุก

ปีนี้เหล่าแซนต้ามาเคาะประตูกันทันทีที่ฮาโลวีนผ่านไปเลยทีเดียว เล่นกันแบบไม่ทันตั้งตัว เพราแต่ละแซนต้าสั่งกันคนละหลายๆชิ้น แล้วเราเองไม่ได้สต๊อคของไว้มากมาย ไม่ทันคิดว่าจะเป็นขนาดนี้ เพราะปีที่แล้วดันปิดร้านช่วงนี้กลับเมืองไทยไปพอดี เลยไม่รู้ทางไหล และความแรงของน้ำ...ช่วงแรกๆ...เลยต้องขายกันไป สต๊อคกันไป


ว่าไปปีนี้ถือว่าดีสำหรับร้านเล็กๆอย่างเรา ลูกค้าเข้าไปจิ้มของในร้านแล้วเมลล์มาบอกว่าต้องการกี่ชิ้น กี่แบบ รายละเอียดพิเศษแค่ไหน จ่ายตังค์กันกลางอากาศ ส่งของกันกลางอากาศ สบายเรา สบายเขา เครื่องแบบชุดทำงานแต่ละวันของเราก็คือชุดนอน...เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า...เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลา ที่ออร์เดอร์เริ่มเข้า ตั้งแต่นั้นก็เข้ามาให้หัวฟู มือเป็นตะคริวกันได้ทุกวัน...ยันตีสอง ตีสาม

เรียกว่าปีนี้ทำสินค้ากันไป ดีไซน์ในส่วนของแพคเกจจิ้ง คาร์ด ต่างๆที่ลูกค้าขอให้แนบไปให้ด้วยกันสดๆ วันต่อวัน เด็กโข่งต้องมาช่วยนั่งทำ print พับกล่องกันนิ้วหงิก



ทุกครั้งที่ออร์เดอร์เข้า ใจหนึ่งตีปีกพับๆ...นาทีต่อมา เป็นความกดดัน เพราะต้องปั่นแข่งกับเวลา และจำนวนของที่สั่ง เพราะช่วงเวลานี้ทุกคนที่สั่งของ จะมี deadline ที่ต้องการของกันทุกคน เราต้องส่งออกให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

แถมช่วงเทศกาล การส่งของก็ต่างจากการส่งในช่วงเวลาอื่น เพราะมันจะต้องแพคแบบของขวัญ นั้นก็คือมันต้องมีการผูก การห่อ แนบคาร์ด กันให้งดงาม...ใครทำตรงนี้ให้ลูกค้าได้ ก็มักจะได้ลูกค้ามากหน่อย เพราะช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งความสุขของเค้า เราเลยได้ลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว กลับมาซื้อเพิ่มกันอีกในอีกวัน สองวัน ถัดมาอยู่หลายราย



มีอยู่หนึ่งเคสที่ทำเอาหัวใจจะวาย...เริ่มด้วยได้รับเมล์ตอนบ่ายสอง ถามว่าอยากซื้อกระเป๋าพาสปอร์ต แต่ต้องการของพรุ่งนี้เช้า เราทำได้มั๊ย เค้าอยู่ชิคาโก้ เราส่งจากนิวยอร์ค...แล้วความซวยก็มาเยือน...ตรงที่ของที่เค้าอยากได้ เพิ่งขายหมดออกไป นั้นหมายถึงเราต้องเริ่มทำกันตอนนั้นเลย แถมสินค้าตัวนี้เป็นตัวที่ต้องใช้เวลาในการทำ ส่วนมากเราจะทำทั้งวันสำหรับหนึ่งใบเริ่มตั้งแต่ตัดผ้า ปัก ประกอบ

แรกเลยจะปฏิเสธ เพราะหันไปดูเวลาแล้วเสี่ยงที่จะไม่ทันสูงมาก แต่พออ่านเมลล์ที่สองที่เค้าส่งมาให้แล้วต้องกัดฟัน เอาไงเอากัน ต้องเอาให้ทันให้ได้ เพราะเค้าจะเอากระเป๋าไปใส่ตั๋วเครื่องบินไปสเปน ซึ่งเค้าซื้อไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้แฟน แล้วมันจะเป็นทริปที่เค้าจะขอแฟนเค้าแต่งงานที่สเปน...แม่เจ้า...อิคนขายใจละลาย


ตัดสินใจทำแบบไม่ลืืมหูลืมตา ประเภทลืมหายใจ ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกนาทีนับถอยหลังก่อนไปรษณีย์จะปิด เสร็จแล้วก็คว้าโค้ดสวมทับกางเกงนอน วิ่งหูชา จมูกแดง ไปยืนเป็นหมาหอบแดดอยู่ในไปรษณีย์ก่อนประตูปิดได้ห้านาที....ส่งคืนนั้น ถึงมือคนรับเที่ยงวันรุ่งขึ้น

ถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าวันนั้นมันทำเข้าไปได้ยังไง เพราะยังไม่เคยประกอบกระเป๋าใบนี้ได้เร็วขนาดนั้น.....หลังจากนั้นอาทิตย์กว่าๆ เค้าก็เมลล์กลับมาขอบอก ขอบใจกันยกใหญ่ พร้อมทั้งส่งวีดีโอที่เค้าถ่ายกันไว้ ช่วงที่ิอยู่สเปนกับช่วงปฏิบัติการขอแต่งงานมาให้ดู....น่ารักมาก...อย่าง แรง แรง...หายเหนี่อย ณ บัดดล



ถึงตอนนี้ นับว่าหมดเวลาแล้วสำหรับคนสั่งของออนไลน์ เพราะเหลือเวลาแค่สองวันก็คริสต์มาส ไปรษณย์ก็กำลังจะปิดทำการ ออร์เดอร์ออนไลน์ก็ซาลง....แต่ออร์เดอร์ last minute shopping ของเราก็ยังรอส่งกันอยู่...เป็นออร์เดอร์ที่ต้องมารับกันเองกับมือที่หน้าประตูกันเลย

ออร์สุดท้ายอีกหนึ่งถุงใหญ่ของเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ เพิ่งทำการส่งมอบกันไปหน้าประตูเมื่อสองทุ่มที่ผ่านมานี้เอง ทั้งแชนต้าเองทั้ง elf เองต่างถอนหายใจ ยิ้มให้กันและกัน...กับภารกิจส่งความสุข สุดท้ายของปี เป็นไปอย่างเรียบร้อย เสร็จสรรพ ทันเวลา มีความสุขกันทั่วหน้า


ปีหน้า ฟ้าใหม่ เริ่มกันใหม่...หลายไอเดียที่นอนนิ่งค้างคาอยู่ในสมุด sketch ก็จะได้ออกมาแสดงตัวกันอีกบ้าง เมื่อมีพื้นที่สมอง สองมือว่างแล้ว

Sunday, November 28, 2010

ไปดูเค้าช๊อปที่...จตุจักรเมืองนิวยอร์ค


ไม่ได้อัพ blog นานมาก เพราะแห้งติดอยู่ในโรงงานนรก(แบบน้องๆ) นั่งเป็นหนูถีบจักรผลิตงานส่งแซนตาคลอสกันนิ้วเคล็ดหัวคลอน ไม่ได้โผล่หัวยื่นหางออกไปไหนเลย นอกจากใส่กางเกงนอนกับโค้ดหนาๆวิ่งเปรี้ยว ไป-กลับ ไป-กลับ โต๊ะเย็บผ้ากับไปรษณีย์...วันนี้วันอาทิตย์...แม้ยังมีออร์เดอร์ค้างอยู่อีกนิดหน่อย...แต่ถือวิสาสะความเป็นเจ้านาย(ตัวเอง)...ปิด...

แล้วก็พันหัว พันตัว ออกไปเดินดูชาวบ้าน ชาวเมืองเค้าซื้อของ หาของขวัญกัน....คึกคัก คึกคัก....ถือเป็นช่วงจ่ายกระจายสำหรับคนญาติเยอะ เพื่อนมาก เพราะช่วงเวลาแจกของขวัญคริสมาสต์ใกล้เข้ามาทุกที



เมื่อวานออกมาส่งของ แล้วเลยไปซื้อแผ่นกรองใส่ตู้ปลาแถวยูเนี่ยนสแควร์ เดินโผล่บล๊อกออกมา ก็เห็นกระโจมยาวแถบขาวแดง เลื้อยรอบยูเนี่ยนสแควร์ เลยได้กระจ่างว่า Union Square Market เค้าเริ่มกันแล้ว ทุกปีเค้าจะจัดกระโจมยาวไปเป็นพรึ้ดให้คนขายของ จำพวกของฝาก ของขวัญ มาออกร้านขายกัน....เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มก่อนคริสมาสต์

ช่วงนี้ทั่วนิวยอร์คจะมีตลาดแบบนี้อยู่ทั่วไปเป็นจุดๆ จุดที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ หรือจุดที่นิวยอร์คเกอร์ต้องใช้ชีวิตผ่านไปผ่านมา....ยูเนี่ยนสแควร์ถือเป็นอีกจุดที่คนเยอะ เพราะเป็นจุดต่อซับเวย์จุดใหญ่จุดหนึ่งในแมนฮัตตั้น เค้าเลยเอาตลาดมาครอบทางเข้าออกขึ้นลงซับเวย์กันเลย ประมาณว่าโผล่ขึ้นมาจากหลุมก็ควักกระเป๋าเดินจ่ายตลาดกันเลย...ส่วนอีกจุดก็เป็นที่โคลัมบัส สแควร์ บนอัพทาวน์ ใกล้ๆเซ็นทรัลพาร์ค


เราเป็นพวกไม่มีญาติ(เยอะ) เลยหายใจโล่งจมูก....แล้วส่วนใหญ่ของแจกเพื่อนช่วงคริสมาสต์ที่ผ่านๆมา เราทำเองซะหมด...บ้านเราเลยหนักไปทางซื้อวัตถุดิบ ซึ่งก็มักจะนั่งแหมะอยู่หน้าคอมแล้วก็สั่งให้ของมันลอยมาเอง ไม่ต้องออกไปเดินหิ้วให้เมื่อยข้อ

ร้านขายสบู่แฮนด์เมดร้านนี้หอมมาก


เราชอบออกไปเดินสังเกตุการณ์ ไปสูด ดูด ดม บรรยากาศหนาวๆ....ห่อตัวให้อุ่นๆ แล้วออกไปเดินอาบแสงไฟเล็กๆจากร้านค้า เบียดคนโน้นนิด นี่หน่อย มีเสียงเพลงนุ๊งๆนิ๊งๆเบาๆ....รู้สึกตัวเองสวยขึ้นมาทันที ไม่รู้ทำไม

ว่าไปบรรยากาศการจัดร้านก็คล้ายสวนจตุจักรบ้านเรา ต่างกันที่...ที่นี่มีขายกันแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น....และไม่อัดยัด วุ่นวาย "หลังชนนม...นมชนหลัง" เหมือนการเดินที่จตุจักร และที่ต่างกันแบบฟ้ากับสะดือทะเล แต่เหมือน "ลำปาง" คือ "นิวยอร์คหนาวมาก"...เหงื่อไม่ไหล ไคลไม่ย้อย เมคอัพไม่ย้วยไม่เยิ้ม...ออกจากบ้านสวยไปยังไง ตังค์หมดกระเป๋าแล้วก็ยังสวยอยู่อย่างนั้น....ในขณะที่ทุกครั้งที่กลับจากจตุจักร เรามักจะกลับบ้านด้วยสภาพคนโดนของ...ขอบตาคล้ำ หน้าแย่ เยิ้มและย้วย แถมเกลี้ยงตูด หมดกระเป๋า


เวลาที่เพื่อนผู้ประสงค์จะมาทำโรแม้นส์กันที่นิวยอร์ค....ถามว่าควรมาช่วงไหน เราก็จะบอกโดยไม่ต้องคิดว่า...ช่วงนี้หล่ะ....เกาะแมนฮัตตั้นจะอบอวลไปด้วยบรรยากาศวิบๆวับๆทั่วทั้งเมือง ผู้คนก็จะสวย จะเก๋ จะไก๋ ชวนปิ๊งกันทั้งหญิงทั้งชาย

บรรยากาศรอบๆตัว มันจะส่งให้เสื้อ ผ้า หน้า ผม ที่เราใส่อยู่....ช่วยส่งให้เราสวยกว่าปรกติเข้าไปอีก บวกกับอานุภาพของแสงไฟอ่อนๆ...ดูยังไงก็งามผ่อง(ยามไฟสลัว)



ใครที่บอกว่าจะแต่งงานช่วงนี้แล้วค่อยบินมาดื่มน้ำผึ้ง รังแกพระจันทร์กันหลังปีใหม่ เราก็จะสวมร่างเป็นอิบ่าง....ยุให้เค้ามารังแกพระจันทร์ พังรังผึ้งกันซะก่อน...ช่วงนี้หล่ะ...แล้วค่อยกลับไปแต่งหลังปีใหม่แทน...เพราะหลังปีใหม่ไปแล้ว นิวยอร์คก็เหมือนยำวุ้นเส้นที่อิ่มน้ำยำจนเซ็งแล้วนั้นเอง



เดินจนอิ่มตา แต่ท้องเริ่มหิว เลยตัดสินใจหันหลังกลับบ้านทันที เพราะนัดกับต้มยำปลาแซลม่อนเอาไว้....

กลับมาก็คุยกันไว้ว่า ปีหน้าจะลองไปเข้าคิวสมัครเป็นสมาชิกตลาดนี้กับเค้าบ้าง เท่าที่รู้ต้องสมัครก่อนล่วงหน้าเป็นปี คิวที่รอลงในพื้้นที่ก็ยาวเหยียด ส่วนค่าใช้จ่าย...ยังไม่อยากคิด ไม่รู้จะมีเหงื่อหน้าหนาวให้ปาดหรือเปล่า ปีนี้มีอยู่สอง สามที่ ที่ติดต่อเรามาให้ไปลง แต่เรายังไม่มีกำลังสต๊อคของ...ถ้าคิดจะลง ก็ต้องเริ่มทำงานเยี่ยงควายกันตั้งแต่ต้นปี...

เหนื่อยจัง ตังค์อยู่ไม่ครบ ถึงเวลาออกงบ....อย๊ากกก..อยาก..นั่งพับคองอเข่าใต้ต้นถั่วงอก

Sunday, October 10, 2010

Paint the Town Orange


ตอนนี้เมืองทั้งเมืองมีแต่สีส้ม เป็นสัญลักษณ์ว่าผีกำลังจะมา และเป็นจุดเริ่มต้นของบรรยากาศการเฉลิมฉลองของคนแถวนี้เค้าแล้ว บรรยากาศช๊อบปิ้งเริ่มคึก เพราะรายการของฝากของขวัญสำหรับเทศกาลที่กำลังจะถึงนี่ทำเอาหลายคนปาดเหงื่อ

อยู่บ้านปรับตัวกับอากาศเย็นมาหลายวัน เสาร์นี้เลยออกไปเดินเล่นที่ตลาดสด (farmer market) แถวยูเนี่ยนสแควร์ หาของอร่อยๆกิน ของงามๆดู....งามที่ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นเสื้อผ้าช่วงเปลี่ยนฤดู...แต่เดี๋ยวของงามในสายตากลับกลายเป็นพืชผัก หรือของอื่นที่ไม่ใช่เสื้อผ้า.....ยิ่งแก่ยิ่งกระจ่าง



ช่วงนี้หน้าร้าน หน้าบ้าน จะมีฟักทองสีส้ม กระถางดอกไม้สีส้ม สีเหลือง ฝักข้าวโพด ฟางข้าวโพดมาวาง มาตกแต่งประตู บันไดเพื่อพร้อมจะเรียกผีกันแล้ว



บรรยากาศจากช่วงนี้ต่อไป จะเป็นช่วงที่สวยและโรแมนติคที่สุดของปี นับตั้งแต่ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้ร่วง และหิมะโปรย โดยเฉพาะในนิวยอร์คจะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดเหมือนกัน เมืองทั้งเมืองจะพร้อมใจกันแต่งหน้าร้านหน้าบ้านด้วยของสวยๆงามๆ วิบๆวับๆ



ส่วนสีสันในตลาดผัก ผลไม้สดๆ ก็มีแต่สีสันของฤดูใบไม้ร่วง (Jewel Tone) ม่วงเข้ม ม่วงแดง ส้ม เหลือง น้ำตาลแดง สวยละลานมาก...นับได้ว่าเป็นช่วงสุดท้ายของสีสีน เพราะหลังจากใบไม้ร่วง โทนสีของเมืองก็จะเปลี่ยนเป็นโมโนโทนของขาว-เทา-ดำ



กะกันไว้ว่าปีนี้ช่วงเทศกาลเราจะออกไปตะลอนถ่ายรูปเล่นกัน หลังจากรู้สึกว่าไม่ได้ถ่ายรูปแบบตั้งใจกันมานานพอสมควร ปีที่แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ช่วงเทศกาล ปีนี้เลยมีีความรู้สึกอยากออกไปอาบบรรยากาศวิบๆ วับๆของเมืองนิวยอร์คช่วงค่ำคืนขึ้นมาอีก

Tuesday, September 7, 2010

DIY แต่งหน้า ทาฝา ห้องระบายความทุกข์....ทุกข์มานาน


หลังจากหน้าด้าน หน้าทน รับแขกบ้าน แขกเมือง ด้วยห้องสุขา(หมดอารมณ์) มาพอประมาณณณณณณ ปีนี้จึงได้ถึงเวลาแต่งหน้า ทาตา ลงแก้ม ใส่ต่างหู ให้น้องเน่าห้องนี้ซะที....ก่อนที่ท้องมันจะผูกไปมากกว่านี้

ก่อนอื่นต้องขอออกแขกท้าวความซะก่อนหนึ่งยก ตามธรรมเนียมก่อนลิเกจะลงโรง....ว่าไปไงมาไงที่คนสวยคนหล่ออย่างเราถึงได้มีห้องส้วมที่เน่าได้ใจขนาดนี้.....ขอยืดคอสั้นๆ เชิดคางกลมๆ และกล่าวก้องว่า...มันไม่ใช่ความผิดของอิชั้น ทั้งหมดทั้งสิ้น....ที่เกิดมาหน้าสวยแต่มีส้วมเน่าไว้ในครอบครอง มันคือความผิดของความเก่าและแก่ของอพาท์เม้นที่เช่าเค้าอยู่ล้วนๆ (ปัดกันสุดแรงเกิด)

ห้องที่อยู่เป็นขนาด สตูดิโอ อพาร์ทเม้น เนื้อที่คร่าวๆประมาณ 300 กว่าๆตารางฟุต ซึ่งถือว่าเป็นบุญมากแล้วทีี่มีพื้นที่อยู่ขนาดนี้ในย่านความสะดวกในแมนฮัตตั้น ตึกที่อยู่เป็นตึกเก่าแก่ อายุประมาณร่วมร้อยกว่าปีเข้าไปแล้ว เท่าที่รู้มาเคยเป็นตึกที่เป็นโรงแรมมาก่อน แล้วมาซอยย่อยทำเป็นตึกอพาร์ทเม้นในที่สุด เจ้าของตึกคนปัจจุบันคืออาแปะอายุก็ประมาณแปดสิบกว่าๆที่เราทึ่งเค้ามาก ที่สามารถทำมาหากินจนเป็นเจ้าของตึก ที่ทุกวันมูลค่ามันเพิ่มขึ้นทุกวัน เราจะนึกเสมอว่าแปะต้องทำขนาดไหนถึงได้เป็นเจ้าของตึกในย่านนี้ ในเมืองที่ได้ถือว่าแผ่นดินแพงดินอันดับโลก


ทุกทีเราจะเห็นแปะใส่ยูนิฟอร์มเชฟร้านอาหาร ที่แปะเป็นเจ้าของอยู่อีกหนึ่งที่ เดินถือถุงก๊อปแก๊ป เข้ามาตรวจตึกอยู่บ้างเป็นบางครั้ง แต่ทุกวันนี้แปะให้บริษัทที่ทำการรับบริหารตึก มาเป็นผู้ดูแลแทน....และนี่ก็ถือเป็นจุดเล็กๆอีกหนึ่งจุดที่ทำให้อิชั้นมีห้องน้ำเน่ามาเชิดชูหน้าตาแก่ผู้พบเห็น

อพาร์ทเม้นนี้มีสัดส่วนการจัดพื้นที่ ที่ถือได้ว่า...พิการ...ในแง่ของการจัดสรรค์พื้นที่ใช้สอย ซึ่งจะไม่ของลงรายละเอียด เพราะเราเชื่อว่า แปะเค้าคงไม่มีอารมณ์มาละมุนละไมกับการตกแต่งภายในอย่างแน่นอน เพราะเอาสมองไปหาวิธีเคาะกะทะ โขกตะหลิว กวาดเงินเข้าคลัง สร้างเนื้อ สร้างตัวเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า....ไม่เป็นไรค่ะแปะหนูอยู่ได้ ขอแค่หนูได้ทาฝาบ้านแปะให้พอหายคันได้เท่านั้นก็พอ

เราจึงได้อยู่ห้องแนวๆ...ที่มีห้องอาบน้ำอยู่กลางห้อง และห้องระบายความทุกข์อยู่สุดมุมห้อง แยกกันคนละที่...หลังจากแปะจ้างบริษัทมาดูแล เค้าก็ทำการปรับปรุงตึกใหม่ รื้อท่อต่างๆใหม่ หนึ่งในท่อนั้นอยู่ในห้องสุขาไม่รมณ์ของเรา เค้าก็เลยต้องเข้ามารื้อ เพื่อโชว์ให้เห็นว่าการทำให้พื้นที่ให้เละเหมือนสงครามส้วมระเบิด มันเกิดขึ้นได้ง่ายจัง....จากห้องที่เก่ามออยู่แล้ว เลยการเป็นห้องที่เละเป็นปื้นๆ หย่อมๆ เช็ดยังไงก็ไม่หมด เพราะฝาเป็นสีขาว


ถ้าใครเป็นโรคกลัวความแคบ อย่าได้เสี่ยงมาระบายความทุกข์ในห้องนี้บ้านอิขั้นนะคะ คุณอาจคอพับ คออ่อน พังพาบคาคอห่านติดอยู่ข้างในเพราะหายใจไม่ออก.....ห้องนี้กว้างยาวแค่ 1 เมตร x 70 เซน พื้นถึงเพดานสูง 3 เมตรกว่า...มันคือห้องทรงกระบอกไม้ไผ่....ภาพในอดีตคือห้องสีมอๆ มีคราบโคลนเปื่อนเป็นจุด คราบน้ำที่รั่วจากหลังคาเป็นสาย....ช่างสวยงามหาที่ไม่ให้ติเป็นไม่มี....จุดที่สาหัสที่สุดคือฝ้าหลังคา

มันเป็นฝ้าในคืนฮาโลวีน....เพราะเห็นแล้วหลอน ทั้งคราบน้ำ ร่องรอยโฟมอุดช่องว่างที่เกิดแข็งตัวอยู่ในสภาพจะย้อยก็ไม่ย้อย ที่ผ่านมาจะเข้าไปใช้ห้องนี้แบบสงบเสงี่ยมเจียมตัว ก้มหน้าก้มตางุ๊ดๆเข้าไป ขืนเชิดหน้าลอยคอเข้าไปป๊ะกับฝ้าหลังคา ไอ้ที่กำลังทุกข์อยู่แล้วจะได้ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก



ก่อนหน้าร้อนจะหมดปีนี้เราเลยตั้งมั่นว่าจะเสริมงามให้ห้องเล็กๆอันน่าสงสารห้องนี้ซะที สงสารแต่แขกบ้าน แขกเมือง ที่ต้องเข้ามามีประสบการณ์หลอนกับห้องระบายทุกข์บ้านเรา เข้ามาหายใจไม่ออก แถมต้องขนลุกเกรียวกันอีก

ข้อจำกัดของเราในการแต่งหน้า ทาฝา ครั้งนี้ก็คือ
- ไม่ลงทุน...จะไม่มีการซื้ออะไรเข้ามาตกแต่งใหม่ๆทั้งสิ้น นอกจากสีทาฝา เพราะของเก่าที่มีอยู่ไม่พอ
- ไม่แตะต้อง รื้อโครงสร้างใดๆทั้งสิ้น...จะไม่มีการทุบฝา พังฝ้า ขุดกระเบื้องใดๆ เพราะไม่ใช่บ้านเรา
- ผลที่ออกมาต้องเหมาะเจาะกับรสนิยม...เพิ้งศรี มณีแดง...ของเรา


ว่าแล้วก็ลงมือ...เราเลือกทาฝาด้านที่กว้างที่สุดหนึ่งด้านด้วยสีแดงแร๊ดแปร๊ดดด เพื่อเพิ่มมิติให้ขนาดห้องแคบๆทั้งหมด แทนที่จะเป็นสีขาวทั้งสี่ฝาเหมือนเดิม ส่วนฝาที่เหลือก็ทาสีขาวใหม่ทั้งหมด....เพราะคิดว่าสีเหมือนกันทั้งสี่ฝาในห้องแคบ ยิ่งทำให้ห้องแคบบีบหัวใจหนักเข้าไปอีก


ส่วนนังด่าง....ฝ้าเพดาน เราก็จะไม่เอื้อมมือไปแตะต้องใดๆทั้งสิ้น ปล่อยให้มันหลอนตัวมันเองไปยังงั้น เพราะในที่สุดก็จะไม่มีใครได้เห็นหน้าค่าตามันอีก

เราทำการปิดปังมันทั้งฝ้าด้วยผ้า cotton สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงเข้ม ที่เราจัดการกระทืบด้วยจักรไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตอกตาไก่สี่มุมไว้แขวนกับตะขอ แล้วส่งเด็กโข่งขึ้นบันไดไปเกี่ยวให้เสร็จสรรพ...เราเย็บให้ผ้ามันใหญ่กว่าขนาดของฝ้า เพราะต้องการให้มันห้อยแล้วย้อยลงมา ช่วยดึงฝ้าให้ต่ำลงมาหน่อย



ส่วนอีกฝาก็เอากระจกกรอบขาวทรงสูงยาว (ราคาถูกจากเคมาร์ท) ที่มีอยู่แล้ว บังเอิญชื้อไว้ว่าจะใช้กับที่อื่น เอามาแขวนฝานี้ซะ เพื่อเพิ่มมิติทะลุกันอีกหนึ่งทวิภพ อีกฝาตรงข้ามก็แขวนภาพสีน้ำมันแบบกล้วยๆที่เราเพ้นท์ไว้ เอาแขวนไว้พักตาเหมือนเดิม

ข้าวของรกๆที่เคยอยู่บนหิ้งนี้ก็กวาดลงตระกร้าไปไว้ที่อื่น ไม่ก็ลงถัง ส่วนมากเป็นพวกยา แล้วก็เอาของมาวางทำงามไว้พอประมาณ ต้นไม้ที่จะอยู่รอดในห้องนี้ได้ก็คือต้นไม้พลาสติกเท่านั้น เพราะมันไร้ซึ่งแสงธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้น



ส่วนที่เหลือพวกท่อน้ำเล็กๆ ที่พาดไปพาดมา ก็ปล่อยเปลือยเอาไว้อย่างนั้น เพราะทำอะไรไม่ได้ เด็กโข่งถามจะทาสีซะเลยดีมั๊ย เราว่าไม่ต้องหรอกปล่อยให้มันดิบไว้ไปตัดกับอารมณ์ของห้องแล้วกัน ไฟก็ยังเน่าอยู่ ไว้มีเวลาไปเดินตลาดเห็บเหาถ้าเจอโคมถูกๆซักเหรียญ สองเหรียญ ค่อยซื้อมาเปลี่ยน

และแล้วห้องระบายความทุกข์ที่เคยเน่าของเรา ก็งามเปล่งปลั่ง ขึ้นมาด้วยสีสองถัง ไร้ซึ่งคราบไคลกวนอารมณ์ ส่วนไอ้ที่เหลือๆอย่างกระเบื้องเก่าแล้ว พื้นกระเบื้องไ่ม่งาม อันนั้นก็ทำใจรับไป....


เสร็จไปอีหหนึ่งโปรเจค....อีกโปรเจคที่เหลือคือ ทาสีส่วน bunk bed ให้เสร็จทันก่อนหนาวมา จะได้ขึ้นไปนอนโก้งโค้งอุ่นๆสบายๆเวลาอากาศหนาวๆ

Wednesday, August 25, 2010

ไปแย่งเด็กดูหนังกลางแปลง



กิจกรรมฟรีๆหน้าร้อนเริ่มเจือจางลงทุกวัน....เมื่อลมเย็น ฝนหนาว โชยมาหุยๆ....นิวยอร์คเกอร์ส่วนใหญ่จะออกไปใช้เวลาหน้าร้อนกันจนหยดสุดท้าย แล้วค่อยกลับไปจำศีลหลบหนาวในถ่ำเหมือนเดิมอีกประมาณแปดเดือน

เรามันมนุษย์เมืองร้อน ไม่ค่อยเป็นมิตรกับแดดหน้าร้อนเหมือนมนุษย์เมืองหนาวเค้า เราเลยมักจะออกมาเชยชมพระอาทิตย์ช่วงเวลาเย็นกันซะส่วนใหญ่ กลางวันวันไหนแดดเปรี้ยง เราเลือกที่จะเกลือกกลิ้งอยู่บ้าน


ช่วงเวลาหน้าร้อน...บรรยากาศช่วงเย็นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การดูดอมยิ้มเดินเล่นชมเมืองมากที่สุด พระอาทิตย์ก็เป็นใจ กว่าจะตกให้ฟ้่ามืดก็ประมาณเกือบสามทุ่ม

ทุกๆหน้าร้อนกิจกรรมฟรีๆในนิวยอร์คมีเยอะมาก จัดโดยกลุ่มออกาไนซ์เชอร์ต่างๆที่ขึ้นตรงโดยเมืองนิวยอร์ค โดยเอาเงินภาษีมาใช้จัดงาน ถือว่าเป็นการคืนความรื่นรมณ์กลับให้ผู้เสียภาษี ให้เหมาะกับความสาหัสของภาษีที่นิวยอร์คเกอร์ต้องจ่าย



หนึ่งในกิจกรรมนั้นคือกิจกรรมในกลุ่ม River to River จัดโดยกลุ่มที่รับผิดชอบกิจกรรมทั้งรอบแม่น้ำฮัตสัน และในแม่น้ำฮัตสัน....เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ชอบใช้ชีวิตในน้ำ หรือแค่เลาะริมตลิ่งหาปลาหาปลิงกิน...ถ้าชอบ

เค้าจะมีคลาสสอนให้ทุกอย่าง สอนพายคายัค เล่นเรือใบ สอนตีลังกา กลับหัวกลับหาง ห้อยโหน โจนอากาศ....มีหมด...สาระพัดในแบตเตอร์รี่พาร์ค พาร์คเล็กๆแต่ยาวเลาะริมแม่น้ำฮัตสัน ตั้งแต่ดาวน์ทาวน์ยันมิดทาวน์....ทุกๆวันเสาร์เมื่อตกเย็น แดดร่ม ลมเอื่อย ป๊อบคอร์นเต็มตู้แล้ว ก็พร้อมฉายหนังกลางแปลง



กิจกรรมฉายหนังกลางแปลง เป็นกิจกรรมสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กเด็กแดง เน้นไปสำหรับเด็กซะส่วนใหญ่ หนังที่เอามาฉายก็จะเป็นหนังที่มีเรื่องราวน่ารักๆสำหรับเด็กๆ อย่างวันนี้ฉายเรื่อง Annie เป็นเรื่องของเด็ก อาศัยอยู่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าผู้แก่นแก้วมีแววเป็นผู้สร้างเมือง....เด็กดูไปร้องเพลงตามไปด้วย ผู้ใหญ่ไม่เลี้ยงเด็กอย่างเรา ก็ไปอาศัยนั่งดูเด็ก แอบแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ลูกเค้า ให้หายคัน แล้วก็ไปหาป๊​อบคอร์นฟรีกิน....มีหนังให้ดูฟรีแล้วยังไม่หนำ เค้าเลยต้องแจกป๊อบคอร์นฟรี ของเล่นฟรีด้วย

แต่ละบ้านก็จะหอบผ้าหอบผ่อน หมอนอิง หมอนข้าง ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา กับข้าวกับปลา กันมาพะรุงพะรัง แล้วก็มาปูผ้าตั้งวงเอกเขนก แคะหู หาเหา ให้กัน....รอเวลาหนังฉาย มันเป็นบรรยากาศที่ไม่มีสารพิษเจือปนทั้งหมดทั้งสิ้น แดดอ่อนๆ ลมเย็นเอื่อยๆ เพลงเบาๆ กลุ่มที่สนุกที่สุดคือพวกมนุษย์ตัวเล็กทั้งหลาย....วิ่งเล่น หัวทิ่ม หัวตำ กันสุดสวิง



เราว่าแค่จอหนังผืนเล็กๆ กับแดดอ่อนๆ ลมเย็นริมแม่น้ำ สนามหญ้าปลอมเขียวขจี ของเล่นฟรี ขนมฟรี นิดๆหน่อยๆแค่นี้ มันจะสร้างความทรงจำดีๆให้เด็กๆเหล่านี้อย่างแน่นอนเมื่อเค้าโตขึ้น.....เพราะสำหรับเด็กแล้วพื้นที่เล็กๆในสายตาผู้ใหญ่ มันคืิอพื้นที่ใหญ่ๆในสายตาเด็กเสมอ และจะเป็นพื้นที่ที่มีค่ามากของเค้า...เรารู้...เราเห็น...เพราะเราเป็นมาก่อน

เราเองยังจำได้ว่าเมื่อสมัยวัยผูกผมเปีย ร้านเจ๊ขายของชำตรงหัวมุมถนนหน้าแขวง เป็นร้านที่ใหญ่และเริ้ดที่สุด และเป็นร้านเดียว สำหรับการช๊อบปิ้งในชีวิตของเด็กที่หัวยังไม่พ้นโต๊ะขายขนม โตขึ้นมาเราก็ยังเลือกที่จะแวะเวียนไปหาขนมกินที่ร้านเจ๊เหมือนเดิม ถึงแม้มันจะกลายเป็นร้านเล็กๆ เท่าฝายันฝาไปแล้วเมื่อเราโตขึ้น...ขนมก็เป็นขนมง๊องแง๊งไปแล้วในสายตาเรา แต่เสียงทักทายของเจ๊ ของแปะ ลูกๆเจ๊ที่เห็นเรามาแต่เด็ก ทุกครั้งที่เราแวะไปมันยังเหมือนเดิม...


ว่าไปอยากให้มีกิจกรรมอย่างนี้ให้เด็กเมืองบางกอกบ้างจัง....รู้สึกว่าเด็กเมืองบางกอกทุกวันนี้ ห่างเหินจากวิถีชีวิตง่ายๆเข้าไปทุกที แต่ก็นะ....ลองฉายหนังฟรีอย่างนี้ที่สวนลุมซิ เด็กๆคงเพียบเหมือนกัน....เด็กแว้น เด็กสก๊อย ผู้น่ารัก พวกเธอก็คงสนุกสนานร่าเริงหัวทิ่ม หัวตำ ไม่แพ้เด็กริมแม่น้ำฮัตสัน...เพราะของฟรีๆมีที....มาม๊ะ...เรามา ตีกัน ตีกัน