Monday, October 12, 2009

The High Line, New York ทางเดินใหม่ บนรางเก่า


อาทิตย์ที่ผ่านมาอากาศดีเป็นเลิศประเสริฐศรี แดดแรงๆ แต่เย็นนิดๆ พอสบายตัว...เราเลยผงกหัวใส่กันว่าออกไปเดินเล่นดีกว่า ประมาณอารมณ์ว่า...อากาศดีต้องรีบโกย กะกันไว้ว่าจะออกไปเดินหาเหาใส่หัวที่ตลาดเห็บเหา แหล่งขายของเก่าบนถนน 17 ซึ่งเราลงทะเบียบตีตรากันแล้วว่าเป็นตลาดสามัญประจำบ้านเรา

เดินเลาะเล็มไปบนถนนเส้นโปรด เป็นถนนบ้านสวย บนถนน 10 เฉียงแฉลบออกไปทางเวสถึง 6 Avenue กับ 17 ปรากฏว่าตลาดหาย ตายจากกันไปแล้ว เหลือแค่ที่ว่างเปล่าๆร้อมรั้ว ให้ทักทายกัน แค่ไม่ได้โฉบมาเกือบปีเท่านั้นเอง แถวนั้นยังมีร้านขายของเก่าน่ารักๆ อีกสองสามร้าน แต่จะให้ไปเดินที่อื่นอีกก็ไม่ได้มุ่งมั่นขนาดนั้น เด็กโข่งเลยนึกได้ว่า...ไปเดิน High Line กันดีกว่า ตั้งแต่เค้าเปิดกันอึกกระทึกโครมครามกันมาพักหนึ่งแล้ว เรายังไม่ไปได้ไปเหยียบย่ำกับเค้าเลย เดี่๋ยวจะผิดผี



High Line เป็นโครงการอนุรักษ์ รางรถไฟเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ 1930 ในยุคที่นิวยอร์คกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว แล้วก็ถูกเลิกใช้ในปี 1980 รางเหล็กลอยฟ้าอันนี้ก็เลยถูกลืม คนนิวยอร์คบางคนแทบจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าไอ้เสาทึมๆที่คร่อมถนนกันอยู่ทุกวันนี้มันคืออะไร

จนวันหนึ่งเรานั่งดู PBS อยู่ เค้าเอาสารคดีรางเก่าที่ถูกลืมอันนี้มาออก ว่ามันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่กลางเมืองเลย แล้วมีกลุ่มช่างภาพกลุ่มหนึ่งขึ้นไปถ่ายรูปออกมา จำได้ว่าตอนที่เห็นรูปถ่ายเค้า ประกอบกับว่ามันอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่จากบ้านเรานี่เอง เล่นเอาเราอยากขึ้นไปเดินเล่นบ้าง เพราะภาพที่เค้าถ่ายออกมามันเชิญชวนมาก เป็นภาพรางรถไฟมีดอกไม้เล็กๆหลายๆสี กับต้นหญ้าขึ้น เหมือนกับเวลาเราเห็นรางรถไฟตามต่างจังหวัดบ้านเรา แต่ที่ต่างอย่างแรงคือ มันดันรายล้อมด้วยตึกสูงของเมืองนิวยอร์ค และมันลอยอยู่เหนือพื้นถนน



ซึ่งในช่วงนั้นเค้าไม่อนุญาติให้ใครขึ้นไปเดิน จนสุดท้ายก็มีกลุ่มคนรักรางเก่าตรงนี้ขึ้นมา ประกอบกับข่าวลือฮึมฮัมว่า ในที่สุดเค้าจะรื้อเจ้าเหล็กขึ้นสนิมนี้ทิ้งแล้ว คนรักรางเก่าเหล่านี้ก็เลยตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อจะอนุรักษ์รางเหล็กยุคสร้างนิวยอร์คอันนี้ไว้ ก็เลยได้เกิดโปรเจค High Line New York อันนี้ขึ้นมา เป็นโครงการใหม่ ในการเพิ่มค่าเมืองนิวยอร์คขึ้นมาอีกหนึ่งโครงการ

ซึ่งตรงนี้อิขั้น...นางแจ๋ว ไม่มีเจียม ขอยืนตัวตรง ตีมือแปะๆให้อย่างแรงๆ เพราะอิชั้นกล้าเอาติ่งหู และถุงน้ำดีเป็นประกันได้ว่า โครงการอย่างนี้ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดที่หมู่บ้านหนองปลากะโห้ของอิชั้นอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าเรื่องจะพลิกหนองงูเห่า หนองน้ำลุ่มให้เป็นสนามร่อนเรือบินนานาชาติ ท่านสัปเหร่อวัดหมู่บ้านอิชั้นเค้าเดินหน้ายาวตลอด


ทางขึ้นมีให้ขึ้นได้หลายทางเพราะรางเก่าอันนี้ยาวจากถนน 14 ถึงถนน 20 เราเดินมาขึ้นกันที่ถนน 16 ซึ่งเป็นจุดที่มีลิฟท์อยู่จุดเดียวในตอนนี้ จุดอื่นก็จะเป็นบันได......ใช่ว่าจะแก่จนไต่บันไดไม่ไหว จนต้องขึ้นลิฟท์แค่ขั้นสองขั้น บังเอิญเราเดินกันมาบนถนน 17 พอดีเลยเลี้ยวแว็บเข้า 16ใกล้ๆกัน

ความรู้สึกแรกที่ขึ้นไปถึงจะเป็นประมาณ....ไรว้าาาา....แค่เนี้ย...มันเป็นความรู้สึกแอบผิดหวัง เพราะมันไม่เห็นชีวิตของรางเก่าเหลืออยู่ รางเหล็กที่มีต้นไม้ มีไม้หมอน มันโดนรือ โดนถอน แล้วก็ปูเป็นเส้นทางใหม่ให้เดิน มันไม่ได้มีความรู้สึกของการเดินบนรางรถไฟใดๆทั้งสิ้น มันก็แค่ถนนปูเดินลอยฟ้า ที่ดันไปเลืยบกับหน้าต่างบ้านชาวบ้านเค้าเท่านั้นเอง.....เราอุตส่าห์ฝันว่าจะได้เดินบนรางรถไฟ เหมือนสมัยอยู่บ้านหนองปลากะโห้ ยามแดดอ่อนๆ จับกระโปรงบานๆ เก้ากระโดดข้ามหมอนรถไฟ ให้ผมปลิวว่อน ล้อแสงแดดอ่อนยามเย็น ดมดอกหญ้าริมทาง เด็ดหญ้าเจ้าชู้จิ้มจมูกพ่อหนุ่มหน้ามนข้างๆ หลั่นล้าให้เหมือนในมิวสิควีดีโอ....วื้ด!



ก็ใช่ว่าจะไม่มีรางเก่าให้เห็นซะเลยทีเดียว ยังมีให้เห็นบ้างในจุดที่ไม่เล็งก็ไม่เข้าตา คงคิดว่าเหลือไว้ให้หน่อยไม่งั้นมันคงกลายเป็นแค่ถนนเดินเล่น ที่ดันลอยฟ้ามีฐานเป็นเหล็กยุค 30's แต่มาคิดอีกทีก็ผงกหัวหงึกๆ....นี่แหล่ะการอนุรักษ์แบบ นิวยอร์ค นิวยอร์ค

พาลให้นึกว่านี่ถ้าพ่ออิชั้นไม่ใช่นามสกุล...ไม่มีเจียม...แต่เป็นบลูมเบริค์....อิชั้นจะขอเด็ดขนหน้าแข้ง พ่อ ไปเลี่ยมตะกั่วคล้องคอ แล้วแถไปยื่นคำขาดว่า...เก็บภูมิทรรศ์เก่าเอาไว้ให้มากที่สุด แล้วค่อยสร้างเพื่อส่งเสริม....ไม่ใช่รื้อหัวใจออกหมด แล้วเก็บแค่ตอม่อดำทะมึนเป็นเสา ไว้ในนามการอนุรักษ์ ตรงนี้อิชั้นขอเอาเสียงตีมือที่ให้ไป กลับคืนมาซักสอง สามแปะ.....โทษฐานทำให้อิชั้น...แอบ..รู้สึกเหมือนเดินอยู่บนสะพานลอยหน้าวัดดอน...ต่างกันที่ อันนี้บรรยากาศรื่นรมณ์กว่าเท่านั้นเอง



เอาเหอะเค้าคงมีเหตุผลของเค้า ในการรื้อ การสร้าง....และอนุรักษ์ให้มันออกมาเป็นแบบนี้ ยังไงก็ยังชื่นชม กลุ่มคนสร้างสรรค์เมืองนิวยอร์ค ที่หมั่นสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมาในพื้นที่เล็กๆ อยู่ตลอดเวลา....ให้ทั้งนิวยอร์คเกอร์ และนักท่องเที่ยวได้ตื่นตา ตื่นตัวกันตลอด จนกลายเป็นเสน่ห์อีกหนึ่งอย่างของเมืองนี้


เราเห็นด้วยกันสองคนว่า ก็เป็นอีกที่หนึ่งไว้มาเดินทอดน่อง มองแม่น้ำฮัดสันได้อีกหนึ่งที่....ตึกที่ออกแบบโดย Frank Gehry ก็อยู่่เป็น background ให้ถ่ายรูปได้ในระยะพอได้เอากลับไปโม้กับลุงหร่องข้างบ้าน หรือจะเบี่ยงไปอีกนิดก็ถ่ายติดตึก Empire State มาได้อีก



วันที่ไปเดินเป็นวันอาทิตย์ คนต่อแถวรอขึ้นบันไดกันอยู่ทุกจุด ส่วนมากก็นักท่องเที่ยว จากเมืองอื่น ประเทศอื่น เค้าให้ขึ้นฟรีตังค์ไม่ได้ขอ แต่ภาษีที่นางแจ๋ว ไม่มีเจียม หมั่นจ่ายให้เมืองนิวยอร์คนี่ก็รากเลือดพอควร แบบไม่ต้องมาขอเพิ่มริมบันไดกันแล้ว...ดังนั้นเราต้องเดินให้สึก กันไปข้างหนึ่ง มีอะไรผุดขึ้นมาใหม่....ที่ว่าสร้างเพื่อคนนิวยอร์ค เราต้องออกมาและเล็ม เพื่อความสมน้ำสมเนื้อกับภาษีแพงๆ

Thursday, October 8, 2009

ตาไว ไปวัน วัน


ผู้ชายกับส้นสูง...ร้านขายของเก่าริมถนน Houston


อร่อยหรือไม่อร่อย ชอบลายเส้นที่กล่อง

Friday, September 25, 2009

ฉันคิด (แต่งตัว) ไปเป็นชาวเกาะ

เดินเข้าไปป๊ะเข้ากับแค๊ตล๊อคชุดยิปซีของ Kapital แบรนด์เก๋จากญี่ปุ่น เห็นแล้วบรรยากาศมันคุ้นเคย เค้าไปติกเกาะกันแถวบ้านเรานี่เอง






แคตล๊อคชุดนี้เล่นเอา ลุงหร่องข้างบ้าน สามารถอินเทรนด์กับเค้าได้เหมือนกัน กางเกงชาวเลตัว ผ้าขาวม้าคาดพุงหนึ่งผืน เข้าร่วม collection ชุดนี้ได้เลย....เหมือนแม่นางแพรีสชอบพูดติดปาก he's hot!

Thursday, September 24, 2009

เป็นเพราะ...แฟชั่นวีค


ถ้าเมื่อไหร่เดินไปซื้อกับข้าวที่เมืองจีน ที่ต้องเดินผ่านโนโห แล้วความถี่ในการเดินสวนกับสาวๆบางๆ ขายาวเกินมนุษย์มนาหล่ะก็ ฟันใบตองตึงได้เลยว่าแฟชั่นวีคกำลังมา ช่วงก่อนหน้าแฟชั่นวีคสาวๆประเภทนี้จะเดินกันทั่วถนน โดยเฉพาะในย่านที่เป็นร้านขายเสื้อผ้า

ที่สังเกตุได้ง่ายคือพวกเธอจะเก๋ไก๋ และเก้งก้าง ผิดมนุษย์มนา....ให้เราต้องเหลียวหลังตามตลอด ในมือก็จะถือแฟ้ม กันคนละกอง เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ บ้างก็ยืนมึนคิ้วชนกันอยู่ตรงสี่แยก เพราะหาที่จะไปไม่เจอ แล้วส่วนใหญ่พวกเธอก็จะพูดภาษาที่เราฟังไม่ออกแทบทั้งนั้น....ช่วงนั้นจะเป็นช่วง Go-See ของพวกเธอ...คือช่วงนัดดูตัว ลองเสื้อผ้า กับดีไซด์เนอร์ต่างๆ

แล้วก็เมื่อแฟชั่นวีคมาถึงเมืองนิวยอร์คก็จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่งตัว ท่าทาง เกินปรกติ อยู่ทั่วมุมเมือง เพราะจุดเดินแบบของแต่ละดีไซน์เนอร์ก็มีอยู่ทั่วทุกจุดเล็ก จุดน้อย ทั่วแมนฮัตตั้น ขึ้นอยู่กับดีไซน์เนอร์คนไหนมีกำลังจัดงานเธอได้เท่าไหร่ ดีไซน์เนอร์ใหญ่ๆทุนสูงก็เดินกันในเต็นท์แพงๆ ดีไซน์เนอร์น้อยๆทุนไม่ถึงก็ต้อง ตีลังกาหาวีธีแสดงผลงานกันเอาเอง อย่างหลังบ้านเรานี่เอง คาดว่าเจ้าของบ้านเป็นดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าเหมือนกัน เพราะคืนวันสุดท้ายของแฟชั่นวีค เธอเอาบริเวณบ้านอันน้อยนิดของเธอเป็นเวทีเดินแบบเหมือนกัน เราแค่ชะโงกคอลงไปมองก็เห็นเข้าไปถึงห้องแต่งตัว เล่นเอาหลบกลับเข้าบ้านแทบไม่ทัน เพราะอาย....ท่าจะบ้า....เห็นคนอื่นแก้ผ้า แต่เราอายเอง

ที่เห็นถึงห้องแต่งตัวเพราะ หลังคาห้องที่เธอให้บรรดานางแบบมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นหลังคาโดมใสอยู่สองโดม เราเลยเห็นหมดเยยยย.....นอกจากนางแบบแล้วผู้คนที่มีส่วนเป็นมดงานก็เต็มเมืองไปหมด อย่างในรูปข้างบนนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศช่วงแฟชั่นวีคมันอบอวลหรือเปล่า เห็นยืนโพสท่าถ่ายรูปเล่นกันเองริมถนนอย่างเมามัน เค้าถ่ายกัน เราเลยถ่ายเค้าอีกที

Wednesday, September 23, 2009

ป้ายชวนซื้อ


เดินผ่านหน้าร้านขายเสื้อผ้าชื่อ Poppy เห็นป้ายเซลน่ารักอันนี้เลยถ่ายเก็บกลับมาด้วย เพราะว่าเป็นป้ายที่เชื้อเชิญแบบน่ารักๆ แถมเจ้าของร้านยังออกมาโผล่หน้ารับแขกอย่างแข็งขัน...ลดเท่าไหร่ก็ซื้อ

Thursday, September 3, 2009

ถึงเวลา US Open อีกหนึ่งปี


เมื่อวานเดินไปซื้อของผ่านร้านเสื้อผ้าร้านนี้ หน้าร้านตกแต่ด้วยลูกเทนนิส ลูกบอลแดง น้ำเงิน เลยนึกได้ว่า US Open เริ่มแล้ว กำลังหวดกันอยู่เลย ตอนอยู่เมืองไทยฝันมากว่าซักครั้งจะได้เข้าไปนั่งอยู่ในสนามอินเตอร์ดูเทนนิสให้คอเคล็ดซักครั้ง โดยเฉพาะสนามวิมเบอร์ดัน แต่บังเอิญร่อนมาตกที่ US ก็เลยต้องเป็น US Open ไปพลาง

เพราะคำว่าวิมเบอร์ดัน เป็นคำที่ติดอยู่ในหัวตลอดทันทีที่ได้เริ่มจับแร๊กเก็ต ตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก ตอนนั้นแร๊กเก็ตแทบจะสูงกว่าตัวเราซะอีก เค้าให้เรียน ก็เรียน เรียนๆเล่นๆ จนกลายเป็นชอบ เป็นกีฬาประเภทเดียวที่เราเล่นได้แบบลืมตาย หวดติดต่อกันสองชั่วโมงก็ไม่รู้สึก พอมาอยู่หอวังตอนมอสี่ มีชั่วโมงเรียนเทนนิสเป็นวิชาบังคับ หวานหมูเราสุดๆ ชอบสุดๆ ชั่วโมงเทนนิสเป็นชั่วโมงก่อนวิชาศีลธรรม...คิดเอา.....เรียนเทนนิสเสร็จต้องขึ้นไปเรียนศีลธรรมต่อ มันไม่หลับ ก็จะเกินไป....เราเลยหวดเทนนิสต่อมันซะสองชั่วโมงรวดตลอด...อีกอย่างเพราะอาจารย์สอนศีลธรรม ไม่ค่อยมีศีลธรรม เอะอะปาชอล์ค ปาแปรงลบกระดาน ใส่นักเรียนเป็นว่าเล่น....เพราะฉะนั้นอย่าเรียนเลย โดดได้โดด เล่นเทนนิสยังสร้างศีลธรรมให้ตัวเองได้มากกว่ามานั่งเรียนกับอาจารย์ขาโหด



สนามเทนนิสที่โปรดมากก็คงไม่พ้นสนามเทนนิสรถไฟ ที่ชุมพร ที่เล่นในสมัยเด็กๆ เป็นสนาม court เดียว กับแป้นสำหรับน๊อคบอร์ดหนึ่งแป้น ที่นี่เราจะได้น๊อคบอร์ดซะส่วนใหญ่ เพราะผู้ใหญ่จะจับจอง court เพราะเค้าเป็นสมาชิกกัน เราแค่เด็กเข้าไปเล่นฟรีๆ แต่ถ้าสนามว่างเมื่อไหร่ เด็กๆอย่างเราเข้าไปเพ่นพ่านทันที

ต่อมาก็ติดสอยห้อยตามเพื่อนอาไปเล่นที่สนามนอกเมือง เป็นสนามอยู่ในหมวดการทางเล็กๆริมถนนทางหลวงสายเอเชีย ที่เพื่อนอาเป็นหัวหน้าหมวดการทางอยู่ที่นั้น ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เล่นตลอดแทบทุกเย็น หลังจากเพื่อนอาย้ายไปประจำที่อื่น และเราเริ่มเข้ามอหนึ่งเลยหยุดเล่นไปพักหนึ่ง มาเล่นอีกทีก็มอสี่ยันมอหก เข้ามหาลัยหยุดอีก...มาเล่นอีกทีตอนทำงานแล้ว เป็นกีฬาที่เล่นๆหยุดๆมาตลอด แต่เมื่อไหร่ที่ได้เริ่มเล่น มันจะหยุดไม่ค่อยได้

ปีนี้กะว่าจะเข้าไปนั่งตากแดดในสนาม US Open ซะหน่อย เพราะสัญญากับเพื่อนที่เมืองไทยไว้ว่า จะโปกมือผ่านกล้องให้เห็นเด่นเป็นสง่า เพราะเพื่อนคนนี้ก็แฟนดูเทนนิสเหมือนกัน มันว่าพอถึง US Open ทีไรจะคอยตั้งตาดูคนดูเหมือนกันทุกที เผื่อจะเห็นเราเข้าไปนั่งหน้าแจ่มอยู่ในสนามกับเค้าบ้าง

นักเรียนเทนนิส ต้องตื่นแต่เช้า

Monday, August 31, 2009

Vintage เก่าเมื่อวาน เก๋วันนี้



เดินเล่นอยู่ใน Etsy ไปป๊ะเอาร้าน Oh Leoluca เป็นร้านขายเสื้อผ้า vintage นั่งไล่ดูของเค้าทั้งร้านเพลินมาก เสื้อผ้าเค้าเป็นเสื้อผ้า vintage (เสื้อผ้าในสมัย 1920 -1980) นอกจากการหาเสื้อผ้าได้เด็ดแล้ว เราชอบ Styling ของเค้า การจับเอาเสื้อผ้าต่างชิ้น ต่างอารมณ์มาใส่ด้วยกัน ผสมกันออกมาสมส่วนและลงตัว



เสื้อผ้า vintage มันฟองฟูเยอะแยะไปหมด การเลือกหามาใส่ให้เป็นสไตล์ของตัวเองนี่ก็ไม่ใช่เล่นๆ เพราะถ้าใส่ไม่เป็น แต่งไม่ถูกก็ลงคลองไปเล่นตีโป่งผ้าถุงได้เลย ร้านนี้ตาดี มองเป็น นอกจากขายของชิ้นนั้นๆแล้ว ก็ยังช่วยให้มองเห็นด้วยว่า เอามาแต่งกันยังไงให้มันดังคลิก



นั่งดูร้านเค้าแล้วรู้สึกคึก สนุก กับการจับเสื้อผ้ามาใส่ด้วยกัน นั่งดูไปก็นั่งนึกไปถึงตู้เสื้อผ้าของอาทั้งตู้ ยังจำได้ว่าทั้งตู้อาเป็นเสื้อเด็ดๆทั้งนั้น ทั้งกระโปรงสั้น ชุดแม๊กซี่ เสื้อสีเจ็บๆ ชุดแสค ค๊อคเทล สำหรับงานปาร์ตี้ ไหนจะพวกเครื่องประดับสร้อย ต่างหู กำไล เป็นลิ้นชัก เต็มๆสองลิ้นชัก ของพวกนี้เราเอามาโป่ะลงบนตัวเรา แทบทุกอย่าง ในวันที่ไม่ได้รับอนุญาติให้ลงไปเล่นข้างล่าง ก็จะได้เล่นแต่งตัวกับของของอา......จนเราสรุปได้ว่านี่คือการแพร่เชื้อ...เพิ้ง...ได้อย่างสำเร็จผล

สมัยอาวัยเปรี้ยว เธอเปรี้ยวจับใจ เสื้อผ้าของแต่งกายอาแต่ละตัว แต่ละอย่างกระเด้งออกมาจากหนังสือ BR ทั้งนั้น เสียดายที่เราโตไม่ทัน ที่จะมองเห็นความเก๋ของเสื้อผ้าสมัยอาวัยเปรี้ยว พอโตขึ้นมาพอจะรู้เรื่อง รู้ราว เสื้อผ้าอาทั้งตู้ก็ถูกบริจาคไปให้ลูกคนงานหมดแล้ว



ยังจำได้ว่ามีอยู่สองชิ้นที่เราเอามาใส่ได้ทัน คือกระโปรงสั้นลายสก๊อตสีแดง จีบพลีทสองจีบทั้งหน้าทั้งหลัง กระโปรงตัวนี้ใส่ตั้งแต่เรียนหอวังยันสวนดุสิต...แต่กระนั้นก็เหอะ.....ความเปรี้ยวของเรายังไม่เท่าอา เราเลยต้องเอามาเลาะชายกระโปรงลงนิดหนึ่ง ไม่งันมันโป๊งชึ่งสุดๆ

อีกตัวคือเสื้อตัวยาวแขนกุดมีระบายตรงขอบแขนนิดๆ สีเหลืองมะนาวแสบตา จับใจ ที่นั่งเสียดายอยู่ทุกวันคือจำพวกชุดแม๊กซี่ทั้งหลาย ยังจับได้อยู่ว่าอามีอยู่หลายชุดมาก แต่ละชุดมานั้งนึกเอาตอนนี้แล้วสวยๆทั้งนั้น ทั้งสี ทั้งลาย และแบบ ทุกครั้งที่กลับไปเปิดอัลบัมดูรูปอาสมัยวัยเปรี้ยวของเค้า.....อาเป็นคนหนึ่งที่แต่งตัวมีสไตล์ และดูดี ทั้งชุด หน้า ผม....งานไหน งานนั้น สมกับการเป็นลูกสาวกำนันเทื้อมผู้กว้างขวางแห่งเมืองคอนจริงๆ


Wednesday, August 12, 2009

ระเบียงบ้านแบบ นิวยอร์ค นิวยอร์ค


นิวยอร์คก็เหมือนเมืองธุรกิจทั่วไป พื้นที่ทุกก้าวกระโดดมีค่าระยิบระยับ เพราะฉะนั้นชาวนิวยอร์คจึงมักจะมีวิธีกลับตัว แปลงร่างให้เข้ากับพื้นเล็กได้ดีที่สุดๆ หนี่งในนั้นคือการใช้บันไดหนีไฟเป็นระเบียงบ้านของตัวเอง.....ผิดกฎหมาย....แต่ทำเป็นลืมซะ...จะได้มีพื้นที่เล็กนั่งกินลมชมอากาศ


เราก็มีกับเค้าระเบียงหนึ่งเหมือนกัน เอาไว้นั่งเล่นเย็นๆ กินกาแฟเช้าๆ ดกเบียร์ยามแดดร่มลมตก ส่งเสียงร่วมเชียร์ลงไปที่การ์เด้นของบาร์ไอริชข้างล่าง



เอาไว้สร้างสวนผักที่ไม่เคยได้ออกดอก ออกผล ได้ทันหนาว...ปลูกยังไงก็ไม่งาม เพราะร่มตลอดวัน แต่ก็ยังปลูกเอาไว้ล่อกระรอกให้มาโดนตบ บางบ้านก็ยึดเป็นระเบียงอาบแดด ให้เห็นกันได้ทุกปี บางบ้านส่วนหน้าตึกติดถนน บางวันก็เอาเก้าอี้โต๊ะมานั่งก๊งน้ำแดงทำเก๋ ร่วมบรรยากาศมนุษย์ปาร์ตี้ที่เดินถนนผ่านไปผ่านมาอยู่ข้างล่าง ได้อย่างแนบเนียน



เราเองเคยคึกเอาเสื่อออกมาปูนอน อ่านหนังสือเล่นรับลมช่วงบ่ายๆ เพราะบันใดที่บ้านอยู่ใกล้ต้นไม้ นั่งไปนั่งมาบุ้งหล่นปุ๊กลงมา แทบตายจาก...จะกระโดดกรี๊ดดด...ก็ยังห่วงชีวิต เดี๋ยวจะหล่นปุ๊กลงไปข้างล่างยิ่งกว่าบุ๊ง เก็บเสื่อเข้าบ้านแทบไม่ทัน หน้าร้อนแบบนี้เราออกไปนั่งกันทุกวัน ดูผู้คนในร้านอาหารข้างล่าง เอาบรรยากาศไปอีกแบบ

Saturday, August 1, 2009

I Love My King, กระเป๋าอักษรไทย


อาทิตย์ที่แล้วนั่งทำกระเป๋าสพายหลังง่ายๆสองใบนี้ให้ลูกค้าในแคลิฟอร์เนียคนหนึ่ง เค้าเคยซื้อ tote bag ไปแล้วหนึ่งใบ อีกอาทิตย์ถัดมาเมล์มาถามว่าถ้าจะสั่งทำเป็นกระเป๋าสะพายหลัง (drawstring bag) ได้มั๊ย...เค้าชอบดีไซน์ของกระเป๋า

มันเป็นกระเป๋าที่เราทำใส่ไว้ในร้าน...แต่เค้ามาขอเพิ่มดีไซน์อีกนิดหน่อยด้วยเลขเก้าไทย และประโยค I love my King แทนคำว่า I love handmade ที่เราใส่ไว้


เค้าบอกว่าเค้าเป็นคนไทยที่โตที่นี่ และก็เป็นคนไทยที่รักและระลึกถึงในหลวง เค้าถึงอยากได้เลขเก้าไทย กับประโยค I love my King บนกระเป๋าด้วย เค้าสั่งมาสองใบ บอกว่าจะให้แม่อีกหนึ่งใบ น่ารักอย่างนี้มีเหรอที่เราจะทำให้ไม่ได้...รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้คุยกับคนไทยสำนึกดีๆ งานนี้เลยนั่งทำสุดฝีเข็ม...แล้วก็ส่งสบู่ขมิ้นทำเองแถมไปให้อีกหนึ่งก้อน...เพราะถูกใจคนจิตใจดี


I Love My King, too.

Friday, July 31, 2009

บ้านเก่า...ในนิวยอร์ค


ไม่ใช่บ้านเรา...แต่เป็นบ้านเขา...บ้านใครไม่รู้ รู้แต่เราชอบ บ้านแบบนี้ในนิวยอร์คกำลังได้รับการอนุรักษ์ เพราะมันคือบ้านในยุคการสร้างเมืองนิวยอร์ค บางหลังถูกทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านเก่าเมืองนิวยอร์คไปแล้ว ภายในบ้านยังคงของใช้ต่างๆเอาไว้ ในแบบเดิมๆทุกอย่าง ให้คนได้ดูว่า ผู้คนในสมัยโน้นหลังจากอพยพกันเข้ามาถึงนิวยอร์คแล้ว เค้ามีความเป็นอยู่กันยังไง...ทุกวันนี้ตึกใหม่ขึ้นมาเร็วยิ่งกว่าเห็ดหน้า ฝน ตึกเก่าๆแบบนี้เริ่มหายตัวไปเรื่อยๆ


ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนรูปตึก รูปเมืองในนิวยอร์ค ใหนๆก็มาอยู่ซะแล้ว เพราะจำได้สมัยเรียน มันเป็นความฝันมากว่าจะได้เขียนรูปบรรยากาศของเมืองนอกเมืองนา นี่อยู่มาจนมืองเค้าจะสึกแล้วยังไม่ได้เขียนซักรูป....เดินผ่านบ้านหลังนี้แถวบ้าน ช่วงบ่ายอ่อนๆ เห็นแล้วรู้สึกสวย...เลยถ่ายรูปเก็บไว้ กะว่าน่าจะได้เป็นหนึ่งในภาพสีน้ำมัน หรือสีน้ำในเร็วๆนี้