Saturday, December 15, 2012

Santa Claus is coming to town....for drinking




    ถึงเวลาแซนต้าบุกเมือง แซนต้าที่ว่าเป็นแซนต้าวัยทีนที่รวมกลุ่มกันแต่งตัวตามคอนเซ็บ "แซนต้า"
จะเป็นกวางจมูกแดงติดไฟแว๊บๆ เป็นเลื่อน เป็นของขวัญโบว์ใหญ่ อะไรก็ได้ขอให้มีกลิ่นอายของแซนต้าอยู่ แล้วก็เดินกันไปทั่วเมือง นัดกันไปตามร้านตามบาร์ต่างๆที่เข้าร่วมเทศกาลแซนต้าชวนกันเมา วันนี้ก็จะเป็นวันที่เห็นแซนต้าเดินกันเกลื่อนเมือง พอเริ่มดึกก็จะเห็นแซนต้าเดินเซ แหกปากร้องรำทำเพลงเมากันไปทุกมุม ทุกถนน...คนแก่อย่างเราเลยเลือกที่นั่งเคี้ยวเอื้องอยู่หน้าทีวี กับผ้าห่มอุ่นๆแทน



 

Saturday, November 17, 2012

อยูู่มืดๆกับแม่นางแซนดี้



   เท่าที่จำได้ชีวิตในเมืองไทยที่กระโดดโลดเต้นมาได้ยาวนานถึง 28 ปี ยังไม่เคยได้โลดโผนโจนทะยานฝ่าพายุ ลุยสุนามิ ตะกายหนีกระสุนปืน หรือลอยห่วงยางหนีน้ำท่วมต้นคออะไรกับชาวบ้านเค้าเลย ทุกครั้งที่เกิดเหตุใดๆซึ่งจะกลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของประเทศ เราต้องมีอันให้ไม่อยู่ในพื้นที่นั้นๆซะทุกเหตุการณ์....ทั้งๆที่อยากเป็นหนึ่งในเหตุการณ์กับเค้าใจจะขาด เพราะในชีวิตนี้จะได้มีเรื่องตื่นเต้นไว้โม้กับเด็กๆให้น้ำหมากหกยามแก่เฒ่ากับเค้าบ้าง แต่กลับเป็นว่าทันทีที่ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมากระโดดกิ๊ง ก่อง แก้ว ที่ต่างบ้านต่างเมือง กลับได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ได้เป็นประวัติศาสตร์โลกกับเค้าเลย

   แค่ห้าวันที่ฝ่าตีนน้อยๆแตะแผ่นดินอเมริกา และอยู่ในช่วงกำลังทำความคุ้นเคยกับอากาศหายใจในเมืองนิวยอร์ค เครื่องบินสองสามลำก็บินทะลุตึก World Trade อีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำประเทศเค้า ให้ร่วงถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา ยังจำได้ถึงความรู้สึกเหวอกับภาพที่เห็นในวันนั้น ที่เรายืนดูอยู่บนดาดฟ้าตึกอพาร์ทเม้น มันแทบไม่เชื่อสายตา เพราะมันไม่ต่างกับฉากในหนังอย่างไรอย่างนั้น ใจหนึ่งยังแอบคิด บ้าไปแล้ว พ่อสปีลเบอร์คจะมาลงทุนสร้างฉากกันขนาดนี้เลยเหรอ แต่มันก็คือความจริง....เหตุการณ์นี้ถือได้ว่าเป็นหัวกะทิข้นๆ ที่จะกลายเป็นเรื่องเล่าสุดยอดน้ำหมากหกให้เหลนๆฟังกันแล้วหนึ่งเรื่อง







   ผ่านมาอีกสิบกว่าปี ถึงวันนี้ก็ได้เรื่องใหม่ให้เก็บสะสมไว้ในหมวดหมู่เรื่องเล่าน้ำหมากหกกันอีกครั้ง....เมื่อพายุเฮอร์ริเคนนามใสซื่ิอว่าแซนดี้ ตัดสินใจเลี้ยวหักมุมเข้ามาเดินเล่น แวะช็อปปิ้งละแวกนิวยอร์ค เธอมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง หอบทุกอย่างที่อยากหอบไป แถมเอายังใจกว้างเป็นแม่น้ำ หอบน้ำทะเลทั้งทะเลมาฝากคนบนบกกันแบบไม่ถามกันเลยว่าต้องการกันมั๊ย หล่อนช่างไม่มีมารยาทเอาเสียจริงๆ






   สิ่งหนึ่งที่เราต้องก้มหัวคาราวะให้ประเทศนี้คือการพยากรณ์อากาศของเค้า....เป๊ะมาก เป๊ะกันเป็นนาทีเลยทีเดียว ทำให้เราสามารถวางแผนตีลังการับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที เราเลยตั้งหน้าสู้กับนังแซนดี้ด้วยเสบียงกรังเพียบพร้อมอย่างที่เค้าบอก ว่าให้อยู่ได้แบบไม่มีไฟฟ้าให้ได้ห้าวัน ก็คิดไว้แล้วว่าไม่มีไฟยังสู้ได้แน่นอน ขอแค่อย่าตัดน้ำ ตัดแก๊ซทำกับข้าวแล้วกัน

  ทันทีที่นังแซนดี้เหยียบนิวยอร์คอีกชั่วโมงถัดมาไฟก็ดับอย่างว่าทันที ดาวน์ทาวน์แมนฮัตตัน ตั้งแต่ถนน 34 ยันสุดเกาะมืดสนิทในพริบตา แม่จ๋า....แม่เจ้า....มันเงียบและหลอนสลับกับเสียงหอนของลม และเสียงหวีดของไซเรนจากรถตำรวจ และรถพยาบาล สลับกันร้องยิ่งกว่าวงประสานเสียง





   งานนี้โสตประสาทที่ทำงานได้เด่นเด้งอยู่ประสาทเดียวคือหู เพราะประสาทตาไม่มีอะไรให้ทำมากแล้ว นอกจากใช้นั่งนับตีนกาซึ่งกันและกันกับคุณสามี....ท่ามกลางแสงเทียน....งานนี้เลยต้องกลับไปเป็นสาววิทยุทรานซิสเตอร์พกพา ใส่เสื้อคอบัว แขนตุ๊กตาพองๆ นั่งหมุนหาคลื่นแกรกๆ เพื่อจะได้ฟังข่าวสาร ให้ทันเหตุทันการณ์จะได้ทำตัวถูก....และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของมนุษย์ถ่ำบนเกาะแมนฮัตตันในยุค 2012





    เหตุการณ์การดำรงค์ชีวิตโดยปราศจากไฟฟ้าครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ตาสว่างของชีวิตอีกเหตุการณ์หนึ่งก็ว่าได้ เพราะความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆกัน.....ความไม่แน่นอนของชีวิต ของธรรมชาติ การดำรงค์ชีวิต ต้องคิดวิธีพลิกแพลงเพื่อการเอาตัวรอด และการได้รู้ว่าถ้าเราวางใจ วางชีวิต เอาไว้กับเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ เราเสียเปรียบธรรมชาติมากเท่านั้น





   จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราต้องถอยหลังลงไปหนึ่งก้าว แล้วพยายามย้อนกลับไปในยุคโลเทคให้ได้ไกลที่สุดเท่าที่จะจำได้ เพราะคิดว่าถ้าเราสามารถย้อนชีวิตกลับไปให้ใกล้กับความเป็นไปของธรรมชาติได้ใกล้ที่สุด เราก็จะเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติได้มากเท่านั้น





Tuesday, July 3, 2012

สาว สาว สาว

สาวริมทางนี่โก้จริงๆ...ส่วนสาวบางโพยังโก้เหมือนเดิมหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะไม่เห็นนานแล้ว



















Wednesday, June 13, 2012

เสื้อคอกระเช้าย่า ใส่เช้า ใส่เย็น รับลมร้อนร้อน



ลมร้อนนิวยอร์คกำลังเริ่มโชยมากรุ่นๆ เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำการรื้อตู้เสื้อผ้าเพื่อเก็บเสื้อผ้าหน้าหนาว และดึงเอาเสื้อผ้าหน้าร้อนออกมาไว้แถวหน้า อีกทั้งเป็นช่วงที่บรรดาผ้าผืนต่างๆที่เราซื้อเก็บเอาไว้ถูกแปลงร่าง จับมาตัดฉึบฉึบ เย็บฉึกฉัก ฉึกฉัก ออกมาเป็นชุดต่างๆไว้ใส่ช่วงหน้าร้อนให้ไม่ซ้ำกันแต่ละวัน ส่วนตัวเก่าๆที่เบื่อแล้วก็จับมาแปลงร่าง เพิ่มโฉม โน้นนิด นี่หน่อย ช่วยให้รู้สึกว่าได้เสื้อผ้าใหม่ขึ้นมาแบบไม่ต้องเสียตังค์

ทุกหน้าร้อนสำหรับเราเสื้อที่ขาดไม่ได้คือเสื้อคอกระเช้า ถือได้ว่าเป็นแฟนตัวยงเสื้อคอกระเช้ากันเลยทีเดียว สมัยอยู่เมืองไทยเมื่อไหร่มีเวลากลับบ้านต่างจังหวัดจะต้องซื้อคอกระเช้าไปฝากย่าอย่างน้อยสอง สามตัว ให้ย่าได้ยิ้มแก้มปริทุกที.....และทุกครั้งที่กลับไป ย่าก็จะแบ่งเสื้อคอกระเช้าของย่าให้เราใส่แทบทุกวัน ใครปลื้ม ไม่ปลื้มเราไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่ย่าเปิดตู้แล้วหยิบเสื้อคอกระเช้าให้เราใส่ พร้อมบอกว่าตัวนี้เหมาะกับเรา สีนี้เราใส่สวย ย่าใส่ไม่สวย งั้นเราเอาไปใส่.....ย่ายิ้มและดูมีความสุขทุกที

ถึงวันนี้ย่าไม่อยู่แล้ว เสื้อของย่าตกมาเป็นของเราซึ่งเราเอากลับมานิวยอร์คด้วยบางตัวพร้อมทั้งผ้าลายที่ย่านุ่งทั้งเก่าและใหม่ และบอกให้ที่บ้านเก็บบางส่วนเอาไว้ในตู้ย่าเหมือนเดิม เพราะเมื่อเรากลับบ้านก็จะยังคงใด้ใส่อยู่เหมือนเดิม



สำหรับเราเสื้อคอกระเช้าเป็นเสื้อที่ถูกออกแบบให้เหมาะกับคนอยู่ในประเทศโครตร้อนอย่างบ้านเราเป็นที่สุด ใส่แล้วโปร่งเย็นสบาย....แต่น่าเสียดายที่เสื้อคอกระเช้าไทยๆเราถูกตีตรา ขึ้นป้าย ว่าเป็นเสื้อสำหรับคนแก่ที่ควรใส่เฉพาะในบ้าน เพราะดูไม่เหมาะถ้าจะใส่ไปข้างนอก......แต่ถ้าใส่เสื้อยืดสายเดี่ยวรัดนมต้มปลิ้นๆออกไปเดินทั่วบ้าน ทั่วเมือง ก็จะไม่เป็นไร ยังไงหลายคนก็ยังเห็นว่าเหมาะเจาะสวยงาม

เอาเหอะ....ว่าไปก็มุมใครมุมมัน เมื่อพูดกันถึงเรื่องการใส่เสื้อผ้า เพียงแค่สำหรับเรา การเลือกใส่เสื้อผ้ามันไม่มีกฎ ไม่มีขอบเขต ตราบใดที่เรารู้ว่าลักษณะเสื้อผ้าแบบไหนเหมาะกับหุ่น และถูกสัดส่วนเมื่อใส่ ที่สำคัญช่วยดึงความเป็นตัวตนของเราออกมาได้ถูกที่สุด....เสื้อผ้าเหล่านั้นมักเหมาะและถูกต้องกับเราทุกตัว และเพราะเป็นคนที่ไม่ชอบใส่เสื้อผ้ารัดตัว รัดติ้ว ดังนั้นเสื้อคอกระเช้าย่าจึงถูกใจเรามากกว่าพวกเสื้อยืดสายเดี่ยวทั้งหลายสำหรับใส่สบายๆในช่วงหน้าร้อน

   

สำหรับเราเสื้อคอกระเช้าก็คือเสื้อผ้าหน้าร้อนประเภทหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เสื้อผ้าคนแก่ ไม่ใช่เสื้อผ้าต้องห้าม เราจึงใส่ไปได้ในทุกที่ ทั้งเดินห้าง หรือเดินชายหาด เดินตลาด ปั่นจักรยาน กวาดลานบ้าน แถมซื้อทีเป็นโหลกระเป๋าตังค์ก็ยังไม่ฉีก......ถูกใจจัง ตังค์อยู่ครบ

เสื้อ : คอกระเช้าย่า
กระโปรง, กางเกง : Studio Wonjun by Pui
นาฬิกาสีแดง : Reveal Watch by Daniel Will Harris
รองเท้า : Diesel
แว่นตา : Missoni
ถุงผ้า   :  Strand Bookstore
สร้อย กำไล แหวน : จตุจักร
หมวก : ริมถนนแถวบ้าน East Village, NYC

Thursday, May 3, 2012

ตัดขากางเกงยีน แบบเหลือเยื่อใย



หลังจากไม่ได้ทำการ Blog มานานมากแล้ว เพราะหาเรื่องทำตัวยุ่งนั่งขยี้หัวตัวเองให้มันกระเจิดกระเจิงเข้าไว้ เงินทองจะได้ไหลมาเทมา ก็พบว่าเมื่อเราห่างหายการเขียนไป หลักการเขียนและการใช้ภาษาของเรามันเริ่มไม่เข้าท่าเข้าทุกวัน....ดังนั้นเมื่องานการเริ่มซา ก้็ต้องพยายามดันตัวเองให้มานั่งโม้ผ่านหน้าจอ ให้มีการได้นึก ได้สร้างตัวอักษรกันบ้าง

ว่าแล้วก็เข้าเรื่อง เรื่องการตัดขากางเกงยีนด้วยตัวเอง เมื่อเรามีจักรเป็นของตัวเองแล้วลุงๆป้าๆรับตัดขากางเกงหน้าปากซอยไม่ได้กินเงินเราอีกแล้ว...การตัดขากางเกงยีนได้เอง เป็นอีกหนึ่งในความสามารถของเราที่สามีได้แสดงออกถึงความปลาบปลื่มยิ่งนัก เพราะราคาค่าตัดขากาเกงยีนแถวนี้ตัวละ 15 เหรียญ.....แพงงงงงงงงงง ไม่ลืมหูลืมตา แถมไปให้เค้าตัดก็ต้องรออย่างน้อยข้ามวัน กว่าจะได้เอามาใส่เฉิดฉาย ดังนั้นถึงวันที่คุณภรรเมียทำได้เอง คุณสามีจึงปลื่มยิ่งนัก ประมาณมี tailor ส่วนตัว...สั่งเมื่อไหร่ได้ใส่ทันที




การตัดขากางเกงของบ้านนี้ มักจะเป็นการตัดขากางเกงแบบเก็บปลายขากางเกงอันเดิมไว้ เพราะมีความเชื่อว่าปลายขาเดิมนั้นมีความขลังแฝงอยู่ มีการลงคาถาอาคมกันมาแล้วจากยี่ห้อเค้า เราจึงต้องทำการเก็บรักษาเอาไว้ เพื่อเป็นศรีแห่งความเท่ท่วมท้องทุ่ง และอีกทั้งเป็นการทำเนียนเพื่อตบตาชาวบ้านว่าเรานี้มีความสูงตามมาตรฐานความเป็นไปของกางเกงยีนที่เค้าขายกัน....หามิได้ที่จะต้องมานั่งตัดขากางเกงกัน เพื่อตอกย้ำความเตี้ย

อีกเหตุผลก็คือต้องการให้ปลายขากางเกงดูแล้วมันมีอายุ อานาม รูปลักษณ์เดียวกันกับตัวกางเกง ใช่ว่าตัวกางเกงซีดแล้ว ขอบริมรุ่ยแล้ว แต่ปลายขางกางเกงมองแล้วยังเนียนกริบ ขอบเขิบยังเด้งไม่มีซีดไม่มียับ นั้นก็เพราะขอบมันเพิ่งถูกพับขึ้นมาใหม่ เห็นแล้วมันช่างเด๋อเหมือนผมม้าเต่อตัดผิดก็ไม่ปาน....หรือกางเกงใหม่ที่เพิ่งซื้อมา เราก็ชอบที่จะเก็บรอยเย็บด้วยด้ายเดิมที่เค้าเย็บมาไว้ เพราะถ้าตัดทิ้งไปเราอาจหาด้ายมาเย็บใหม่ไม่เหมือนของเค้า




แถมการเย็บการตัดก็ง่ายยิ่งกว่าการปอกกล้วย ไม่มีอะไรซับซ้อน ให้ต้อง....แพง สามีถึงขั้นเสนอความคิดว่าถ้ากลับบ้านแล้วไม่มีอะไรทำรับตัดขากางเกงมั๊ย????.....รู้สึกจะรายได้ดี เพราะกลับไปคราวล่าสุดพี่ชายสามีหอบกางเกงยีนที่ซื้อไปฝาก ไปตัดขาแบบเก็บขอบปลายขาอย่างนี้แถวอโศก ใกล้ที่ทำงานพี่เค้า เสียค่าตัดกันไปเหยียบสองร้อย เล่นเอาเราคางห้อยถึงพื้น...พี่เค้าว่ายอมเหอะเพราะเค้าเก็บปลายขาเก่าไว้ให้นะ กางเกงเรายังสวยเหมือนเดิม เราก็ยังไม่วายคิดว่าทำไมต้องแพงคะวะวะคะ......เล่นเอาเห็นภาพเรากับจักรตัวน้อยนั่งริมฟุตบาท ปักป้ายรับตัดขากางเกง พอได้สติ....เลยกรี๊ดใส่นังสามีไปหนึ่งช่วงหมาหอน

ทำไปกินกล้วยไปเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่ามันง่ายก็จะยิ่งดี

1. เริ่มด้วยวัดหาความยาวที่ต้องการ จะให้ดีควรใส่กับรองเท้าที่คิดว่าจะใส่คู่ไปกับกางเกงตัวนี้อย่างกิ่งทองใบหยก แล้ววัด  ได้แล้วใช้ชอลก์เขียนผ้าขีดไว้



2. แล้วทำการพับปลายขาขึ้นมา ให้ขอบรอยเย็บเก่าตรงกับรอยชอลก์ที่ขีดไว้ แล้วก็หมุดให้รอบวง ทำทั้งสองข้าง


3. จากนั้นก็เตรียมเย็บ....(เย็บแล๊ว!! เตรียมแค่สองจึ๊กเอง)

4. การเย็บก็ใช้เข็มสำหรับเย็บผ้าหนา ผ้ายีน ใช้ด้ายสีเดียวกับกางเกง ปรับฝีเข็มไปที่ซิกแซกแบบมีรอยเย็บตรงด้วยอย่างฝีเข็มในเบอร์ 11 จากในรูป จากนั้นก็ทำการเย็บปรื้ดๆ โดย...เย็บให้ชิดขอบรอบพับเก่าให้มากที่สุด....


คำเตือน....ถ้าตรงรอยตะเข็บด้านขาในมันหนามาก เกรงว่าถ้าฝืนจักรรุ่นบ้านเรือนของเราให้เดินหน้าเย็บไป มีหวังจักรแหกแตกกระจาย ให้เย็บด้วยมือเฉพาะช่วงสั้นๆช่วงนี้




5. เสร็จสิ้นกระบวนการเย็บก็เป็นกระบวนการทำเนี๊ยบทำเนียน ด้วยการตัดส่วนที่พับออก โดยตัดให้ชิดรอยซิกแซกให้มากที่สุด แต่ระวังอย่าตัดให้โดนด้าย




6. รีดล้มตะเข็บซะ แล้วก็จัดการดึงชายตรงรอยตัดให้รุ่ยให้สุดๆ แล้วก็ค่อยเล็มส่วนรุ่ยๆออกให้เรียบร้อย เป็นอันว่าเรียบร้อยจบสิ้นกระบวนการ....รอบเย็บด้านนอกก็จะแลดูคล้ายๆรอยเย็บขอบทั่วไป....

 

คราวนี้ใครว่าเราเตี้ย...ก็จะได้ยันกันด้วยขอบกางเกงยีนนี่หล่ะ

Monday, January 2, 2012

บนถนน Elizabeth

ออกเดินหาอาหาร หลังวันปีใหม่ ยังไม่มีอะไรใหม่ ในสายตา...ก็คงต้องเดินกันต่อไป