Thursday, March 26, 2009
ใบปิดข้างบ้าน ๑
ว่ากันเรื่องใบปิด....ใบปิดในที่นี้ก็คือใบปิดโฆษณาหรือ Poster ตามภาษาฝรั่ง ใบปิดกับเด็กเรียนศิลปะเป็นสิ่งที่หนีกันไม่พ้น เมื่อสมัยวัยละอ่อน เป็นนักเรียนติวศิลปะ ก็บ้าเก็บใบปิดกับเค้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เก็บมาแล้วก็เอามาเสียบไว้ใต้ที่นอน เพราะใบปิดแต่ละใบใหญ่ห่มตัวเกือบมิด เป็นเรื่องธรรมดาที่พอเราเข้าโหมดสะสมก็จะประคบประหงมสมบัติ ที่แม่ว่ารก อย่างไข่ในหิน อันไหนยับ เล่นอากินไม่ได้นอนไม่หลับ
เริ่มสะสมใบปิดก็เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนติวศิลปะนี่เอง ไปเรียนอาทิตย์ละสองวันเสาร์อาทิตย์ ช่วงเช้าเรียนวาดลายเส้น ช่วงบ่ายเรียนออกแบบ จึงมีการเรียนการออกแบบใบปิดอยู่บ่อยๆ พี่อุ๋ย (ในสมัยนั้น) เดี๋ยวนี้พี่เค้าเป็นครูอุ๋ยไปแล้ว พี่ติวจากศิลปากร เลยแนะนำให้หมั่นดูใบปิดต่างๆ ว่าเค้ามีการวางองค์ประกอบในช่องสี่เหลี่ยมกันยังไง จากดูเฉยๆลามมาถึงแอบแกะของเค้ากลับบ้านซะงั้น ลามไปถึงการตามล่าหาใบปิด จะต้องแอบหลังเสา มุดรั้ว ทำมึน ยังไงทำหมดเพื่อให้ได้มาซึ่งใบปิด มาถึงวันนี้ยังนึกไม่ออกว่าไอ้พวกใบปิดพวกนั้นมันหายไปไหนหมดแล้ว
มาถึงนิวยอร์คใหม่ จำได้ว่าตะลึงงึงงันกับการติดใบปิดที่นี่ เค้าติดกันเป็นรั้ว ปิดจนมิดทั้งแผง จนมันกลายเป็นงานศิลปะไปโดยตัวของมันเอง เพราะเค้าปิดกันแบบติดๆๆๆกัน คนเคยบ้าใบปิดอย่างเราเลยชอบมาก แต่อาการแอบแกะกลับบ้าน มันหมดไปนานแล้วจึงไม่มีการแอบทำมึนค่อยๆแงะค่อยๆแคะให้นิวยอร์คเกอร์เห็นกัน ใบปิดที่นี่เค้าจะปิดกันตามรั้วของไซท์ก่อสร้าง เพราะรั้วพวกนี้เป็นรั้วทึบ ล้อมไซท์ก่อสร้างทั้งไซท์ คนเดินถนนจะไม่สามารถเห็นภายในของไซท์เค้า ดังนั้นพื้นที่ว่างๆยาวๆอย่างนี้ จะปล่อยให้ว่างไว้ทำไม โดยเฉพาะในนิวยอร์ค พื้นที่ทุกตารางนิ้วจะไม่มีการปล่อยให้เปล่าประโยชน์ พื้นที่ว่างคือพื้นที่เงินทั้งนั้น
อย่างทางที่เห็นในรูปเป็นทางที่เราเดินไปซื้อกับข้าวที่ไชน่าทาวน์ เป็นรั้วของร้านอาหาร รั้วนี้จะมีใบปิดมาปิดอยู่ทั้งปีทั้งชาติ เปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ ตามหน้าตาของใบปิด
ทำไปทำมากลายเป็นกิจกรรมเฝ้าดูกำแพงใบปิด ว่าจะมีอะไรใหม่ออกมาทุกอาทิตย์ที่เดินไปซื้อกับข้าว ดูแต่ตามืออย่าต้อง เพราะบ้านจะรก
Wednesday, March 25, 2009
ติวเข้ม....กระเป๋าใส่พาสปอร์ต
รับปากกันไว้ตามคำขอ ว่าจะทำ tutorial กระเป๋าใส่พาสปอร์ตใบงามตั้งแต่ต้นเดือน ตัดผ้าเอาไว้เรียบร้อย แต่แล้วก็มีเหตุให้ต้องต้อนรับเพื่อนแบบโดนสาดน้ำ คือเธอมาตูมเดียว แบบไม่ทันตั้งตัว ประมาณว่าวันนี้รับโทรศัพท์ว่าเธอจะมา อีกวันรุ่งขึ้นเธอถึงเลย ผ้าที่ตัดไว้เลยทิ้งไว้ก่อน รับเพื่อนก่อน...สามอาทิตย์ผ่านไป ถึงได้เคลียร์โต๊ะเย็บผ้ากันต่อไป
บังเอิญว่าใบที่ทำใบนี้ ตัดผ้าไว้กะว่าจะทำให้พี่สาว เลยทำแบบใบที่ใส่ได้เล่มเดียว แต่ถ้าใครอยากทำแบบที่ใส่ได้สสองเล่มก็เอาวิธีการทำอันนี้ไปใช้ได้เหมือนกัน
อันนี้ต้องขอบคุณพี่ตุ๊กจาก Thaibubbles ที่ทำบล๊อกการประกอบกระเป๋าให้ดู เพราะตัวเองไม่มีเทคนิคการเย็บอะไรทั้งนั้น เข้าไปดูบล๊อกพี่ตุ๊กแล้วก็เก็บ เทคนิคการประกอบมาปรับให้เข้ากับอย่างที่ตัวเองต้องการ
งั้นเริ่มค่ะ....ใบนี้ใส่ได้เล่มเดียวนะ แต่สามารถเอาไปปรับเป็นแบบใส่ได้สองเล่มเหมือนกัน * สำหรับแบบที่ใส่ได้สองเล่มก็แค่ตัดผ้าชิ้นหมายเลข 2, 3, 5 ขึ้นมาสองชิ้น แล้วก็ตัดชิ้นหมายเลข4 ออกไป การประกอบก็ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน*
อุปกรณ์
1. ผ้าปก
2. ผ้าด้านใน (lining)
3.แผ่นบุ เพื่อความหนา
4. ผ้ากาวชนิดแข็ง และชนิดนิ่ม
5. กระดุมแป๊ก และอุปกรณ์ช่วยติดกระดุม
1. ร่างแพทเทิร์นกัน ชิ้นงานทั้งหมดจะมี 7 ชิ้น ในรูปขาดชิ้นที่เจ็ด คือที่เสียบปากกาค่ะ ไม่เป็นไร เตรียมเศษผ้ายาว 2 นิ้ว กว้าง 1 นิ้ว ไว้หนึ่งชิ้นเอง
แพทเทิร์นชิ้นที่ 1 นี้ใช้ตัดผ้าทั้งส่วนปก และส่วน lining
ขนาดที่เห็นในรูปเป็นขนาดที่ยังไม่ได้รวมตะเข็บ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเพิ่มตะเข็บอีกครึ่งนิ้วในทุกแพทเทิร์นเวลาตัด
ขนาดทุกชิ้นวัดเป็นนิ้ว
ถ้ามองไม่เห็นตัวเลข คลิกลงบนรูปนะจ๊๊ะ ภาพมันจะใหญ่ขึ้น
......................................................
2. วาดแบบเสร็จแล้วตัดผ้าเลย...ผ้าที่ใช้ทำตัวผ้าชิ้นนอกที่เป็นปกคววรเป็นผ้าหนา ที่คงตัวนิดจะดีมาก อย่างผ้าลินินหนา หรือคอตต้อนหนา ส่วนผ้าชิ้นใน(lining)เป็นผ้าอ่อนหน่อยได้ เมื่อตัดผ้าตามได้ตามขนาดแล้ว ให้รีดผ้ากาวติดทั้งสองชิ้น
Tip : ผ้ากาวที่ใช้สำหรับดามชิ้นปกเป็นผ้ากาวแข็ง เพราะจะทำให้กระเป๋าเป็นทรง ส่วนผ้ากาวที่ใช้ดามชิ้น lining เป็นผ้ากาวนิ้ม เพืื่อเพิ่มน้ำหนักผ้าเท่านั้นเอง ถ้าใช้ผ้ากาวแข็งดามชิ้น lining เวลาพับกระเป๋าข้างในมันจะเป็นรอยยับจับใจเกินงาม สังเกตุผ้ากาวแข็งจะตัดไม่พอดีผ้าขอบผ้าปก ที่เห็นคือขอบตะเข็บไว้เย็บ ที่เผื่อเพราะเวลาเย็บจะได้เย็บไม่โดนผ้ากาวแข็ง ส่วนชิ้น lining ปิดผ้ากาวนิ้มเต็มผืนเพราะต้องการน้ำหนักผ้าตัวนี้เป็นตะเข็บ....ทำตรงนี้เสร็จก็ปล่อยทิ้งไว้ก่อน
เสร็จแล้วถ้าอยากทำลายตรงหน้าปก ก็ทำไว้เลย
......................................................................
3. ไหนๆก็กำลังรีดผากาวแล้ว หยิบเอาชิ้นที่ 5 (ลิ้นไว้เสียบตั๋ว) และชิ้นที่ 4 (ส่วนกระเป๋าใส่แบงค์) มาดามผ้ากาวแข็งซะด้วยเลย พร้อมขลิบริมผ้าตรงรอยพับ เสร็จปล่อยทิ้งไว้ยังไม่ต้องเหลียวแล
.......................................................................
4. หยิบผ้าชิ้นหมายเลขสอง (ชิ้นช่องใส่บัตรเล็ก บัตรน้อย) มารีดพับไปพับมา ตามรอยพับในแพทเทิร์น แล้วเย็บ top stitch เพื่อเป็นขอบของแต่ละช่อง
Tip : เวลาตัดผ้าชิ้นนี้ เพื่อให้ง่ายในการพับแล้วรีดเป็นเส้นตรง เวลาตัดผ้าให้ขลิบริมผ้านิดๆตามเส้นของรอยพับทั้งสองด้าน เพื่อเป็นไกด์เวลารีด
..........................................................................
4. เมื่อพับช่องใส่บัตรเรียบร้อยแล้ว เอาส่วนนี้มาเย็บติดกับชิ้นหมายเลขสาม (lining) ประกบด้านถูกเข้าด้วยกัน แล้วเย็บปร้ืดดดดๆๆ เย็บเสร็จแล้ววางทิ้งไว้ก่อน ทำส่วนอื่นต่อ
พับกลับมาเป็นด้านถูกแล้วตัดผ้าส่วนที่เกินออก จากนั้นถ้าต้องการแต่งส่วนนี้ก็ทำซะตั้งแต่ช่วงนี้ อย่างในรูปเอาผ้าปักรูปหมามาติด ก็เลยต้องเย็บติดซะตอนนี้เลย เวลาเย็บก็อย่าเย็บให้ติดผ้าส่วนหลัง พอเสร็จจะได้ไม่เห็นรอยเย็บด้านหลังใดๆ
...........................................................................
5. จากนั้นหันไปคว้าผ้าชิ้นที่4 (ชิ้นส่วนกระเป๋าใส่แบงค์) มาพับ ยึดรอยขลิบที่ริมผ้าสองข้างเป็นไกด์ พับให้ตรง แล้วรีดให้คม จากนั้นเอามาเย็บตรงขอบที่พับ เย็บเป็นเส้นคู่ขนานกัน
.................................................................
6.ทีนี้ก็มาทำสายรัด ซึ่งไม่มีรูปตอนทำ แต่ก็ทำง่ายมาก ตัดผ้าตามขนาดแพทเทิร์น พับด้านยาวเข้าหากันข้างละครึ่งนิ้ว แล้วรีดให้คม จากนั้นตัดผ้ากาวยาว 2 นิ้วมารีดลงตรงกลางระหว่างรอยพับ แล้วพับด้านสั้นเข้าหากัน ก็จะได้ผ้าแข็งตรงปลาย 1 นิ้ว เอาไว้ตอกกระดุมแป๊ก
...................................................
7. ชิ้นที่เจ็ดทำ ที่เสียบปากกา อันนี้ถ้าใครไม่อยากได้ก็ไม่ต้องทำ วิธีการทำก็คือทำเหมือนไส้ไก่ ตัดผ้าขนาดยาวสองนิ้ว กว้างหนึ่งนิ้ว แล้วพับครึ่งตามความยาว เย็บเข้าด้วยกัน จากนั้นก็มาเล็มเอาตะเข็บออกให้เหลือเป็นตะเข็บเล็ก แล้วใช้ลวดกลับผ้ากลับข้างในออกข้างนอก รีดให้แบน
................................................................
ได้เวลามนุษย์ไฟแดงประกอบร่าง
อย่าตกใจว่าทำไมเบอร์ 5 ถึงสั้น ในรูปนั้นมันพับครึ่งไว้ค่ะ
.................................................................
1. ประกอบช่องใส่บัตร (P.2,3) กับลิ้นเสียบตั๋ว( P.5)อันดับแรก เพื่อสร้างช่องใส่พาสปอร์ต
- วาง P.2,3 บน P.5 แล้วเนาให้ติดกันโดยรอบ
- พับ P.5 ลงมาปิด P.2,3 เอาด้านหลังขึ้นมาทับ แล้วเย็บติดตลอดแนว
- เสร็จแล้วขลิบตรงมุมบนออก ตัดตะเข็บแข็งช่วงช่องเสียบบัตรออก เหลือตะเข็บเต็มตรงช่วงบน ช่วงสิ้นใส่ตั๋วเพราะตะเข็บช่วงบนจะได้หนารับกับตะเข็บช่วงช่องเสีบยบัตร ในรูปตัดตะเข็บผิด จะเห็นว่าเหลือตะเข็บบางไว้ แต่ในที่สุดก็ตัดออก เหลือตะเข็บไว้เฉพาะช่วงบน เหมือนในรูปถัดไป
- จากนั้นเราก็จะปลิ้นจะปล้อนกันแล้ว...ดันมุมบนเข้าไป กลับข้างในออกมาข้างนอก กลับเสร็จก็รีดทับตะเข็บให้แบนอีกหนึ่งรอบ
2. ถ้าอยากมีที่เสียบปากกา ก็เย็บไส้ไก่ที่เตรียบไว้ ติดลงไปบนชิ้น lining โดยใช้ชิ้นช่องใส่พาสปอร์ต บัตร กับชิ้นกระเป๋า P.4 เป็นไกด์
3. เย็บชิ้นกระเป๋าติดกับชิ้น Lining เป็นตัวหนอน โดยการวัดจากขอบตะเข็บเข้ามาข้างละ 1 นิ้ว เปลี่ยนฝีเข็มเป็นซิกแซก ความถี่ของฝีเข็มน้อยสุดแล้วจัดการเย็บตัวหนอนหนึ่งนิ้วทั้งสองด้าน
4. ประกอบตัวปก บุความหนา ติดกระดุม แผ่นปุความหนาในรูปเป็น Felt ใช้เพราะที่บ้านมีอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ใช้ Felt ก็ใช้แผ่นบุธรรมดาได้เหมือนกัน เอาที่ไม่หนามาก ยิ่งหนากระเป๋ายิ่งบวม ไม่งามค่ะไม่งาม
- เริ่มจากวัดหากึ่งกลางกระเป๋า เพื่อหาตำแหน่งที่จะติดกระดุม และติดสายคาด เมื่อหากึ่งกลางกระเป๋าได้แล้วให้ขลิบตะเข็บทั้งสองข้างมาร์คตำแหน่งไว้ จากนั้นก็หาตำแหน่งที่จะเจาะรูติดกระดุม ให้ห่างจากตะเข็บเย็บเข้ามาประมาณ 3/4 นิ้ว เอาดินสอจุดตำแหน่งไว้
- จากนั้นก็มาหาตำแหน่งวางสายคาด แต่ก่อนที่จะวางสายคาด ก็มาติดกระดุมก่อน เพื่อจะได้เสร็จเป็นขั้นๆไป การติดกระดุมแบบนี้ต้องมีเครื่องมือตอกกระดุมเข้าช่วย หรือถ้าอยากเปลี่ยนเป็นการติดกระดุมธรรมดา แล้วทำห่วงคล้องก็คงได้เหมือนกัน
- จากนั้นก็มาติดกระดุมตัวผู้ ใช้เครื่องมือเหมือนกัน *แต่ก่อนติดกระดุมตัวผู้ อย่าลืมเอาผ้าบุวางลงไปพร้อมกับผ้าปก* เพราะเวลาติดกระดุมตัวผู้จะเจาะติดทะลุผ้าบุลงไปด้วย
- จากนั้นก็เป็นการวางตำแหน่งสายคาด (ระวังอย่าให้เบี้ยว) โดยการหากึ่งกลาง (ทางยาว) ของสายคาด แล้วขลิบเป็นไกด์ เอาสายคาดไปวางบนผ้าปก เอาด้านในของกระดุมหงายขึ้น วางโดยให้จุดที่ขลิบบนผ้าปก ตรงกับจุดที่ขลิบบนสายคาด วางให้ตรงแล้วเนาติดให้แน่น
5.ประกอบร่าง ทีนี้เมื่อทั้งปก และด้านในประกอบพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาประกอบสองชิ้นนี้เข้าด้วยกัน เอาสองชิ้นประกบหน้าด้านถูกเข้าด้วยกัน เช็คว่าวางด้านถูกด้านล่างประกบด้านล่าง ด้านบนประกบด้านบน เพราะตัวเองเคยประกบสลับหัวสลับหางมาแล้ว เวลาต้องเลาะเมื่อทุกอย่างเสร็จ มันทำให้ชีวิตหม่นหมองจริงๆ
- เมื่อประกบแล้วก็ต้องทำการเนาสองชิ้นให้ติดกันเรียบร้อยก่อน ช่วงเนาใช้ตัวหนีบ หนีบตัวงานไว้ก่อนก็ได้เพื่อการง่ายในการเนา งานจะได้ไม่เคลื่อนเนาเสร็จก็จัดการเย็บรอบให้ติดกัน *โดยเว้นช่อง เอาไว้กลับผ้าตรงฝั่งช่องใส่บัตร ใส่พาสปอร์ต* เย็บเสร็จก็ตัดเอาตะเข็บออกโดยรอบ ขลิบตรงมุมให้ป้าน *ไม่ต้องตัดตะเข็บตรงส่วนที่เว้นไว้กลับผ้า เพราะจะเก็บตะเข็บตัวนี้ ไว้ให้รับกับความหนาของตะเข็บฝั่งกระเป๋าใส่แบงค์*
- แล้วก็จัดการกลับผ้าเอาข้างในออกมา การกลับคือค่อยๆดันตรงมุมกลับเข้าไปก่อน แล้วก็ค่อยดันออกมาเรื่อยๆ อย่ากระชาก หรือฝืนมันแค่ค่อยดันอกมา ออกมาแล้วยับยู่ยี่ก็ไม่ต้องห่อเหี่ยว เพราะเราเอามารีดให้เนียนกริบได้เหหมือนเดิม
จากนั้นก็ทำการสอยปิดช่อง
- เลาะด้ายเนาออก รีดให้เรียบ เป็นอันเรียบร้อย ได้กระเป๋าใส่พาสปอร์ตมาอีกหนึ่งอัน
Sunday, March 22, 2009
กระทิงแดงหลุดคอก
สองวันก่อนอากาศดีสุดๆ เลยออกไปเพ่นพ่านข้างนอกซะหน่อย เดินไปเรื่อยจากบ้านฝ่าดงพังค์หน้าบันไดตึก ออกไปพาร์ค เดินทะลุพาร์ค ไปเรื่อยๆตามถนนโฉบเข้าไปเช็คของใน Urban Outfitter แว็บหนึ่งออกมาเจอฝูงกระทิงแดง ฝูงหนึ่งเพ่นพ่านอยู่หน้าร้าน ขาเข้าร้านก็ไม่เห็นมี เหลียวไปมองแว็บหนึ่ง ว่าเค้าจะทำอะไรกัน ก็ไม่เห็นทำอะไรนอกจากยื่นคุย เดินเล่น เตะกันไปฮากันมา....เห็นเขาเค้าท่า เข้ากับหน้าแดงๆ เลยขอถ่ายรูปมาแชะหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถามว่าเป็น Campaign อะไร แแล้วก็เดินต่อไป เรื่อยๆมาถึงถนนกลับบ้านก็เจออีกแล้ว ดูเหมือนจะกรุ๊ปเดิม เล่นเอางง มายังไงตั้งแต่เมื่อไหร่....เมื่ออากาศเริ่มดี Campaign ต่างๆก็เริ่มผุด เมืองทึมๆ ก็จะเริ่มมีสีสันขึ้นในอีกไม่ช้า....แต่ก็นั้นแหล่ะอากาศดีก็มักจะมาพร้อมกับ allergy น่ารำคาญ....ว่าแล้วก็จาม จ๊ามมม...ชิ๊วววว
Monday, March 16, 2009
จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
ช่วงวันก่อนเดินออกจากร้านมื้อเที่ยง หันหลังขวับไปเห็นสาวคนนี้เพิ่งเข่ยงก้าวกระโดดลงมาจากตึกอพาทร์เม้นเค้า หันไปมองด้วยความเร็วปานแสงจากโลกสู่ดาวเหนือ สมองสั่งการ ผม เสื้อ กางเกง กระเป๋า รองเท้า...แจ๋วแหว๋ว คาดว่าเธอคงอยู่ในโหมด"ไม่ทันแล้ว" เพราะเธอเดินผ่านดังวูบบบบ...ฉับ ฉับ ฉับ กะว่าจะคว้ากล้องมาทำมึนๆถ่ายด้านข้างให้ทัน....ไม่ทัน....คว้าออกมาจากเสื้อโค้ด เธอเดินไปโน้นแล้ว....กดตามหลังดังเช๊ะ....ซูซานถาม Her pant? เราตอบ Yeah.
Wednesday, March 11, 2009
สงครามถุงพลาสติค
สองวันก่อนนัดซูซานกับร๊อบและเจ้สหนูนีน่า ไปกินข้าวเที่ยงกัน...กินเสร็จก็พานีน่าไปเล่นเครื่องเล่นในพาร์ค พอให้นีน่าได้หายคึกกับวัยเริ่มหัดวิ่ง แล้วก็ออกช๊อปปิ้งต่อ ซูซานอยากหาของขวัญให้เพื่อนเค้าสำหรับปาร์ตี้ช่วงเย็น เราก็เลยเดินไปเป็นเพื่อน ออกจากพาร์คข้ามถนน Avenue A พุ่งมาที่ร้าน Alphabet ร้านขายของเล่นของขวัญงานดีไซน์ต่างๆ เดินเข้าไปไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไร แต่ก็ยังพูดกับเด็กโข่งว่าเข้าร้านนี้ไม่พ้นเสียตังค์แบบไม่มีแผนการอีกแน่นอน....แล้วมันก็จริงดั่งว่า
เสียตังค์ซื้อไอเดียของชาวบ้านเค้าไปอีกยี่สิบเหรียญ ได้ถุงผ้าจ่ายตลาดมาอีกหนึ่งอัน ถุงผ้าที่นอนกองกันอยู่ที่บ้านนี่ก็เยอะพอที่เอาไปถมที่ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่วาย...เพราะเข้าข่ายพวกบ้าถุงผ้า (tote bag mania) เห็นเป็นไม่ได้ แม่กวาดเรียบหมด สมัยสิบกว่าปีที่แล้วถุงผ้าที่เมืองไทยหายากมาก พอมานิวยอร์ค ชาวนิวยอร์คสะพายถุงผ้ากันแทบทุกคน เล่นเอาเรากระดี้กระด้า มันข้าหล่ะ เจอแหล่งเก็บถุงผ้าอีกแล้ว เราใช้ถุงผ้ามาตั้งแต่เค้ายังไม่รณรงค์ให้ใช้กัน มันแค่เป็นความชอบส่วนตัวเริ่มตังแต่สมัยเรียนมัธยม ที่คิดว่าถุงผ้ามันมีเสน่ห์ของมัน โดยเฉพาะถุงผ้าเฉพาะกิจที่ทำขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่ง โอกาสใดโอกาสหนึ่ง ร้านใดร้านหนึ่ง เราจะชอบคว้ามาเป็นเจ้าของมาก ถุงผ้าใบแรกที่ซื้อในนิวยอ์คคือถุงผ้าจากร้านหนังสือเก่าชื่อ strand แค่ร้านนี้ร้านเดียวเราก็ซื้อกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ซื้ออยู่แบบเดียว แต่ซื้อแทบทุกลาย ซื้อตั้งแต่ใบละห้าเรียญ จนตอนนี้ขึ้นเป็นสิบเหรียญแล้ว ก็ยังตามซื้ออยู่ พอใช้ไม่ทันก็จะตกไปเป็นของน้อง ของหลาน ช่วยๆกันใช้ แต่ขอให้แม่ได้ซื้อ จะเป็นสุขอย่างที่สุด
แล้วมันจะเหลืออะไรกับถุงผ้าระเบิดมืออันนี้...ด้วยราคายี่สิบเหรียญ เป็นถุงผ้าที่แพงที่สุดเท่าที่ซื้อมา...รู้ทั้งรู้ว่าแพง แต่มันปฏิเสธไม่ลง ก็เพราะไอเดียของคนคิดเจ้าถุงอันนี้ขึ้นมานี่แหล่ะ ดีไซด์เนอร์เค้ารู้ว่าตั้งราคาไปเถอะคนซื้อมีแน่นอน...นี่ไงมันอยู่นี่ไงคนหนึ่ง
มาถึงตอนนี้นั่งขำตัวเองกับเรื่องถุงผ้า จำได้ว่าช่วงที่ถุงผ้า "I am not a plastic bag" ดีไซด์โดย Anya Hindmarch ที่โดนปั่นออกมาให้เป็นแฟชั่นการใช้ถุงผ้า เราถึงกับเกาหัวแกรกๆหัวใจขุ่นมัว จากถุงผ้าราคาสิบห้าเหรียญโดนปั่นให้กลายเป็นของหายาก ขายกันในอีเบย์ถึงสองร้อยกว่าเหรียญ เพียงเพราะเป็นถุงผ้าจากดีไซน์เนอร์ บวกกับพลังการพีอาร์และการสร้างกระแส โดยใช้ดารา Hollywood เป็นตัวก่อกระแส ลงตามหน้าหนังสือดาราต่างๆ แล้วถึงค่อยปล่อยให้คนทั่วไปได้ซื้อ ด้วยจำนวนจำกัด มีขายในร้านจำนวนจำกัด ขายตามเมืองตามประเทศจำนวนจำกัด ตามเวลาที่จำกัด ทำให้คนเกือบเหยียบกันตายในฮ่องกงจากการต่อคิวซื้อถุงผ้าอันนี้
เราเองแค่เห็นโฆษณาว่า Whole Food จะวางขายถุงผ้าอันนี้ แต่ไม่รู้กับเค้าว่ามันเป็นถุงผ้าเทวดาที่ใครๆอยากได้กัน เห็นแค่ดีไซด์ก็ว่าน่ารักดี ชอบ wording เค้า และท่าทางจะจุดี แล้วไว้จะมาซื้อในวันที่เค้าวางขาย โดยไม่รู้ว่าในนิวยอร์คคนไปต่อคิวรอซื้อกระเป๋าใบนี้กันตั้งแต่ช่วงกลางคืนก่อนวันเปิดขายหนึ่งวัน ท่ามกลางสายฝน ลมแรง ส่วนตัวเราเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปใน Whole Food ช่วงประมาณเกือบเที่ยง ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติจากวันจ่ายตลาดทุกๆวัน ไปถามพนักงานว่าจะซื้อถุงผ้าอันนี้ตรงแผนกใหน คนขายยิ้ม บอกว่าขายหมดไปตั้งแต่แปดโมงเช้า เล่นเอาอึ้งว่ามันจะขายดีอะไรขนาดนั้น กลับบ้านมานั่งสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับถุงผ้าอันนี้เลยลองเสริช์อินเตอร์เนตอ่านถึงได้กระจ่าง เล่นเอาถึงขั้นถอนหายใจ...เอองั้นดีแล้วที่ไม่ได้ตกไปเป็นส่วนหนึ่งของเหยื่อ "Marketing"แมวๆอย่างนี้...อ่านจบเล่นเอาไม่อยากเป็นเจ้าของถุงผ้าอันนี้โดยสิ้นเชิง เพราะเกิดอาการหมั่นไส้การตลาดล้วนๆ
หลังจากนั้นอีกไม่นานไอ้กระเป๋าแบบนี้ คำนี้ แขวนต่องแต่งอยู่ตามร้านขายกระเป๋ายีห้อปลอมๆในไชน่าทาวน์ เกลื่อนไปหมด หลังจากซื้อกุ้ง หอย ปู ปลา เสร็จช่วงเดินผ่านเลยเดินเข้าไปถามราคาว่าเท่าไหร่ ด้วยความรู้สึกว่ามันอะไรกันนักหนา ถึงขั้นเจ้าพ่อขายยี่ห้อปลอมจากเมืองจีนยังถึงต้องเอามาขายกัน คิดว่าราคาไม่น่าจะเกินสิบเหรียญ เพราะของจริงที่ดีไซน์เนอร์เค้าขายแค่สิบห้าเหรียญ แต่ก็นั้นแหล่ะโดนกระแสปั่นให้กระเป๋าใบนี้ขายถึงสองร้อยเหรียญกว่าในอีเบย์....งานนี้ไชน์น่าทาวน์เอากับเค้าบ้าง ขายถึงเจ็ดสิบห้าเหรียญ เราถึงขั้นเผลอปล่อยหมาออกจากปาก หลังจากได้ยินอาตี๋บอกราคา....คนเรามันบ้าไปแล้ว
แล้วก็หันกลับมาซื้อถุงผ้าแบบปุยปุยกันต่อไป เหมือนถุงผ้าระเบิดมือถุงนี้..แพงงง...ที่สุดในบรรดาถุงผ้าที่เราซื้อมา ซื้อเพราะอาการชอบไอเดียล้วนๆ เพราะจริงแล้วก็แค่ถุงผ้าธรรมดาๆเย็บลวกๆจากเมืองจีน แต่เราแพ้จนต้องยอมจ่ายยี่สิบเหรียญ ก็ตรงที่มันดันมายัดอยู่ในระเบิดมือนี่แหล่ะ เพราะรู้สึกว่าถึงแม้จะเป็นกระเป๋าผ้าธรรมดาๆ ที่เย็บแบบลวกๆ แต่อย่างน้อยยังผ่านการคิด การสร้างสรรค์ อย่างน้อยถ้าเราต้องจ่ายอะไรแพงๆ ขอให้เราได้อะไรที่มันเป็นเนื้อๆบ้าง ไม่ว่าจะเนื้อทางด้านดีไซด์ หรือจะเนื้อทางด้านคุณภาพ (ระเบิดมือถุงนี้ได้เนื้อด้านดีไซน์ คุณภาพการเย็บยังเป็นวุ้นอยู่) สำหรับเรา...ยังคงเชื่อในของที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดอยู่มากว่าที่จะปลื้มกับของที่คิดน้อยแต่ขายดีเพราะตลาดเก่ง เพราะถึงจุดหนึ่งของที่ดีจริง มีสมองจริง มันขายด้วยตัวของมันเอง....
เสียตังค์ซื้อไอเดียของชาวบ้านเค้าไปอีกยี่สิบเหรียญ ได้ถุงผ้าจ่ายตลาดมาอีกหนึ่งอัน ถุงผ้าที่นอนกองกันอยู่ที่บ้านนี่ก็เยอะพอที่เอาไปถมที่ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่วาย...เพราะเข้าข่ายพวกบ้าถุงผ้า (tote bag mania) เห็นเป็นไม่ได้ แม่กวาดเรียบหมด สมัยสิบกว่าปีที่แล้วถุงผ้าที่เมืองไทยหายากมาก พอมานิวยอร์ค ชาวนิวยอร์คสะพายถุงผ้ากันแทบทุกคน เล่นเอาเรากระดี้กระด้า มันข้าหล่ะ เจอแหล่งเก็บถุงผ้าอีกแล้ว เราใช้ถุงผ้ามาตั้งแต่เค้ายังไม่รณรงค์ให้ใช้กัน มันแค่เป็นความชอบส่วนตัวเริ่มตังแต่สมัยเรียนมัธยม ที่คิดว่าถุงผ้ามันมีเสน่ห์ของมัน โดยเฉพาะถุงผ้าเฉพาะกิจที่ทำขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่ง โอกาสใดโอกาสหนึ่ง ร้านใดร้านหนึ่ง เราจะชอบคว้ามาเป็นเจ้าของมาก ถุงผ้าใบแรกที่ซื้อในนิวยอ์คคือถุงผ้าจากร้านหนังสือเก่าชื่อ strand แค่ร้านนี้ร้านเดียวเราก็ซื้อกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ซื้ออยู่แบบเดียว แต่ซื้อแทบทุกลาย ซื้อตั้งแต่ใบละห้าเรียญ จนตอนนี้ขึ้นเป็นสิบเหรียญแล้ว ก็ยังตามซื้ออยู่ พอใช้ไม่ทันก็จะตกไปเป็นของน้อง ของหลาน ช่วยๆกันใช้ แต่ขอให้แม่ได้ซื้อ จะเป็นสุขอย่างที่สุด
แล้วมันจะเหลืออะไรกับถุงผ้าระเบิดมืออันนี้...ด้วยราคายี่สิบเหรียญ เป็นถุงผ้าที่แพงที่สุดเท่าที่ซื้อมา...รู้ทั้งรู้ว่าแพง แต่มันปฏิเสธไม่ลง ก็เพราะไอเดียของคนคิดเจ้าถุงอันนี้ขึ้นมานี่แหล่ะ ดีไซด์เนอร์เค้ารู้ว่าตั้งราคาไปเถอะคนซื้อมีแน่นอน...นี่ไงมันอยู่นี่ไงคนหนึ่ง
มาถึงตอนนี้นั่งขำตัวเองกับเรื่องถุงผ้า จำได้ว่าช่วงที่ถุงผ้า "I am not a plastic bag" ดีไซด์โดย Anya Hindmarch ที่โดนปั่นออกมาให้เป็นแฟชั่นการใช้ถุงผ้า เราถึงกับเกาหัวแกรกๆหัวใจขุ่นมัว จากถุงผ้าราคาสิบห้าเหรียญโดนปั่นให้กลายเป็นของหายาก ขายกันในอีเบย์ถึงสองร้อยกว่าเหรียญ เพียงเพราะเป็นถุงผ้าจากดีไซน์เนอร์ บวกกับพลังการพีอาร์และการสร้างกระแส โดยใช้ดารา Hollywood เป็นตัวก่อกระแส ลงตามหน้าหนังสือดาราต่างๆ แล้วถึงค่อยปล่อยให้คนทั่วไปได้ซื้อ ด้วยจำนวนจำกัด มีขายในร้านจำนวนจำกัด ขายตามเมืองตามประเทศจำนวนจำกัด ตามเวลาที่จำกัด ทำให้คนเกือบเหยียบกันตายในฮ่องกงจากการต่อคิวซื้อถุงผ้าอันนี้
เราเองแค่เห็นโฆษณาว่า Whole Food จะวางขายถุงผ้าอันนี้ แต่ไม่รู้กับเค้าว่ามันเป็นถุงผ้าเทวดาที่ใครๆอยากได้กัน เห็นแค่ดีไซด์ก็ว่าน่ารักดี ชอบ wording เค้า และท่าทางจะจุดี แล้วไว้จะมาซื้อในวันที่เค้าวางขาย โดยไม่รู้ว่าในนิวยอร์คคนไปต่อคิวรอซื้อกระเป๋าใบนี้กันตั้งแต่ช่วงกลางคืนก่อนวันเปิดขายหนึ่งวัน ท่ามกลางสายฝน ลมแรง ส่วนตัวเราเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปใน Whole Food ช่วงประมาณเกือบเที่ยง ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติจากวันจ่ายตลาดทุกๆวัน ไปถามพนักงานว่าจะซื้อถุงผ้าอันนี้ตรงแผนกใหน คนขายยิ้ม บอกว่าขายหมดไปตั้งแต่แปดโมงเช้า เล่นเอาอึ้งว่ามันจะขายดีอะไรขนาดนั้น กลับบ้านมานั่งสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับถุงผ้าอันนี้เลยลองเสริช์อินเตอร์เนตอ่านถึงได้กระจ่าง เล่นเอาถึงขั้นถอนหายใจ...เอองั้นดีแล้วที่ไม่ได้ตกไปเป็นส่วนหนึ่งของเหยื่อ "Marketing"แมวๆอย่างนี้...อ่านจบเล่นเอาไม่อยากเป็นเจ้าของถุงผ้าอันนี้โดยสิ้นเชิง เพราะเกิดอาการหมั่นไส้การตลาดล้วนๆ
หลังจากนั้นอีกไม่นานไอ้กระเป๋าแบบนี้ คำนี้ แขวนต่องแต่งอยู่ตามร้านขายกระเป๋ายีห้อปลอมๆในไชน่าทาวน์ เกลื่อนไปหมด หลังจากซื้อกุ้ง หอย ปู ปลา เสร็จช่วงเดินผ่านเลยเดินเข้าไปถามราคาว่าเท่าไหร่ ด้วยความรู้สึกว่ามันอะไรกันนักหนา ถึงขั้นเจ้าพ่อขายยี่ห้อปลอมจากเมืองจีนยังถึงต้องเอามาขายกัน คิดว่าราคาไม่น่าจะเกินสิบเหรียญ เพราะของจริงที่ดีไซน์เนอร์เค้าขายแค่สิบห้าเหรียญ แต่ก็นั้นแหล่ะโดนกระแสปั่นให้กระเป๋าใบนี้ขายถึงสองร้อยเหรียญกว่าในอีเบย์....งานนี้ไชน์น่าทาวน์เอากับเค้าบ้าง ขายถึงเจ็ดสิบห้าเหรียญ เราถึงขั้นเผลอปล่อยหมาออกจากปาก หลังจากได้ยินอาตี๋บอกราคา....คนเรามันบ้าไปแล้ว
แล้วก็หันกลับมาซื้อถุงผ้าแบบปุยปุยกันต่อไป เหมือนถุงผ้าระเบิดมือถุงนี้..แพงงง...ที่สุดในบรรดาถุงผ้าที่เราซื้อมา ซื้อเพราะอาการชอบไอเดียล้วนๆ เพราะจริงแล้วก็แค่ถุงผ้าธรรมดาๆเย็บลวกๆจากเมืองจีน แต่เราแพ้จนต้องยอมจ่ายยี่สิบเหรียญ ก็ตรงที่มันดันมายัดอยู่ในระเบิดมือนี่แหล่ะ เพราะรู้สึกว่าถึงแม้จะเป็นกระเป๋าผ้าธรรมดาๆ ที่เย็บแบบลวกๆ แต่อย่างน้อยยังผ่านการคิด การสร้างสรรค์ อย่างน้อยถ้าเราต้องจ่ายอะไรแพงๆ ขอให้เราได้อะไรที่มันเป็นเนื้อๆบ้าง ไม่ว่าจะเนื้อทางด้านดีไซด์ หรือจะเนื้อทางด้านคุณภาพ (ระเบิดมือถุงนี้ได้เนื้อด้านดีไซน์ คุณภาพการเย็บยังเป็นวุ้นอยู่) สำหรับเรา...ยังคงเชื่อในของที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดอยู่มากว่าที่จะปลื้มกับของที่คิดน้อยแต่ขายดีเพราะตลาดเก่ง เพราะถึงจุดหนึ่งของที่ดีจริง มีสมองจริง มันขายด้วยตัวของมันเอง....
Subscribe to:
Posts (Atom)