Saturday, April 25, 2009

ขอกระโปรงลายดอกหนึ่งตัว



ตื่นเต้น
วันนี้อากาศวิ่งปรู๊ดขึ้นถึง 80 ลมร้อนโชยมาหยุย หยุย มองลงไปบรรยากาศปาร์ตี้อบอวลรอบบ้านไปหมด หลบออกไปส่งของได้นิดหน่อย สาวๆใส่กระโปรงลายดอกกันเต็มบ้านเต็มเมือง เห็นแล้วมันหลั่นล้าใจจริงๆ อากาศที่นี่มันสุดยอด มันไม่มีการอะลุ่มอะล่วย อะไรกันทั้งสิ้น บทพี่แกจะขึ้นก็พุ่งซะเฉาไม่ทัน บทจะลดก็ลดซะหาผ้าห่มไม่ทัน



เมื่อวานยังต้องห่มเสื้อกันหนาวอยู่ในบ้านอยู่เลย มาวันนี้ถอดแขนออกแทบไม่ทัน จะว่าไปก็ชอบเมืองนี้มันตรงนี้เหมือนกัน เวลาอากาศมันเปลี่ยน บรรยากาศก็เปลี่ยน อารมณ์ก็เปลี่ยน สีหน้า สีเล็บสาวๆก็เปลี่ยน เล่นเอาเราเองลุกขึ้นไปหยิบยาทาเล็บมาปาดมาป้ายกับเค้าเหมือนกัน เพราะอารมณ์มันพาไป ทาเล็บเสร็จเสร็จกระโดดขึ้นไปพรวนดิน เพาะมะเขือ พริก กันเป็นการใหญ่ (นี่ถ้าไปเสียตังค์ให้เค้าทาใหญ่คงได้นั่งร้องให้) ปีที่แล้วได้เก็บไปตำน้ำพริกอยู่ไม่กี่หน ก็หนาวตายซะ ปีนี้เพิ่งจะมาเริ่มเพาะ จะโตทันให้ได้กินมั๊ยเนี้ย



ปีนี้ยังไม่มีกระโปรงลายดอก(ตัวใหม่) กะไว้ว่าจะตัดเองอีก แต่ถึงวันนี้ผ้าที่ซื้อไว้ยังนอนเก้งเค้งอยู่ในถุง ภาพชุดลายดอกแบบต่างๆลอยอยู่ในหัวเต็มไปหมด แต่มันยังออกมาเป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ซักที โปรแกรมการใช้จักรยาวเหยียด ดูแล้วแต่ละโปรเจคใช้เวลาในการตีลังกาซะส่วนใหญ่ เมื่อไหร่ ใครจะเป็นคนสร้างเครื่องคิดแล้วเป็นจริงภายในเวลากระพริบตามั๊ง จะเทถังใส่ตังค์ซื้อมาใช้โดยไม่ลังเล



ยังไงก็กระโปรงลายดอกคงยังไม่ต้องตัดตอนนี้ เพราะวันนี้ 80 อีกสองวันข้างหน้าจะเหลือแค่ 60 ให้เย็นขาอีกเหมือนเดิม...กระโปรงลายดอกยังไม่ได้ ก็นั่งดมดอกไม้ข้างหน้าต่างไปพลาง สะสมแรงบันดาลใจไว้ทีละฟื้ด สองฟื้ด อารมณ์อยากได้สุกเมื่อไหร่ ได้ใส่แน่ๆเมื่อนั้น

Wednesday, April 22, 2009

ขาวดำ ไว้พักตา

เมื่อรู้สึกเวียนหัวกับสีสันรอบตัว ก็ปรับชีวิตเข้าโหมดเบสิค เอาสีออกไปให้หมด มองให้เห็นแค่น้ำหนักเท่าที่่สำคัญ








Monday, April 13, 2009

Flowers For Ms. Susan Boyle



โอ้ยแม่เจ้า แม่เจ้า แม่เจ้า....นั่งดูยูทูบเทป Britains Got Talent ที่ป้า Susan Boyle โชว์เทปนี้ เล่นเอาน้ำตาซึม แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปในคอม ถ้ามันทำให้เราเข้าไปยืนตบมือร้อยแปะให้้ป้าเค้าได้ เวลาที่เราอยู่ในสถานการณ์อะไรแบบนี้ เราอยากจะอธิบาย อยากจะเขียนความรู้สึก แต่ส่วนใหญ่จะเขียนออกมาไม่ได้ เพราะความอึ้ง ความอิ่ม ความอุ่น มันเยอะจนบรรยายไม่ถูก นั่งดูแว๊บหนึ่งหลายสิ่งจากตัวป้า ทำให้เราคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Flowers For Mrs. Harris เขียนโดย Paul Gallico เป็นหนังสือแสนรักอีกหนึ่งเล่มที่อ่านแล้วอิ่มใจ แล้วก็เป็นหนังสือที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ มันเล่าไม่ออก นอกจากจะบอกว่า ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดู...แค่นั้นเวลาแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้เพื่อนอ่าน...มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนนี้ที่นั่งดูป้า Susan Boyle ร้องเพลง I dreamed a dream จาก Les Miserables เรานั่งยิ้มให้จอคอมพิวเตอร์กว้างมาก หวังว่ารอยยิ้มนี้จะไปถึงป้าด้วย ข่าวว่ามาแล้ว่า ป้าได้โอกาสแล้วในครั้งนี้ ป้าได้เข้าไปนั่่งคุยกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ค่ายหนึ่งแล้ว....ยาฮู้ หันไปบอกเด็กโข่งว่าเมื่อไหร่ป้่าออกเพลงเราจะตามซื้อมาฟังอย่างแน่นอน..

เห็นด้วยกับคำสุดท้ายของไซม่อน "Susan Boyle you can go back to your village with your head held high."

Sunday, April 12, 2009

"ฟ้าสีคราม เมฆปุยขาวมีสองปุย"

"สวยทั้งสอง ปุย อยู่ที่เขาที่เราคุย ฟ้าที่แสนงามแขวนเมฆขาวเป็นร้อย ปุย



วันนี้เป็นวันที่ฟ้ามีร้อยปุย ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ด้วยอาการแฮงค์โอเวอร์ เพราะเมื่อคืนนั่งดูหนังกระดกไวน์ เคี้ยวชี้ส แกล้มจิ้มจุ่มกันอยู่ในบ้าน
กว่าจะเข้านอนก็ล่อเข้าไปเกือบตีสาม เด็กโข่งหันมาอวยพรวันเกิดเพราะย่างเข้าวันใหม่พอดี วันเกิดปีนี้เลยตื่นขึ้นมาแบบมึนๆ หันออกไปดูแแดดข้างนอก โอ้....แดดจ้ามาก แฮงค์โอเวอร์แบบนี้สู้แดดไม่ด้ายยยย เมื่อวานฝนตกพรำๆทั้งวัน วันนี้แดดจ้าแบบฆ่ากันให้ตาย สงสัยเทวดาเมาเมฆเหมือนกัน

เช้ามาเด็กโข่งมีของขวัญมาให้อีกหนึ่งถุงใหญ่ แอบหลบออกไปซื้อเมื่อวาน อาศัยตอนที่เราออกไปตลาดผ้าประมาณสามชั่วโมง กลับมาเห็นแต่ถุงไวน์วางอยู่ ก็นึกว่าแค่ออกไปซื้อไวน์ ถึงแม้เราจะสัญญากันไว้แค่ไหนก็ตามว่าจะไม่มีของขวัญอะไรกันแล้ว เด็กโข่งก็จะแหกสัญญากันอยู่เป็นประจำ




ของขวัญจากเด็กโข่งปีนี้เราเห็นแล้วก็ยิ้มแก้มแตกอีกเหมือนเคย มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากถุงจ่ายตลาดกันอีกแล้ว เที่ยวนี้เด็กโข่งกลับบ้านมาพร้อมกับถุงจ่ายตลาดลวดลายจับจิตจับใจเราจาก Trader Joe's ถุงนี้เป็นถุงพลาสติก ลวดลายต่างกันสองด้าน เหมาะมากสำหรับคล้องแขนไปซื้อ หมู เนื้อ กุ้ง หมึก ไม่ต้องกลัวน้ำรั่วใส่ถุงผ้า แต่พอเห็นลายถุงแล้วโรคเพิ้งชักกำเริบ ไม่อยากใช้อีกแล้วเสียดายเดี๋ยวเก่า.....อย่างที่บอกพวกถุงของร้านพวกนี้เค้าทำกันพักหนึ่ง จากนั้นก็จะไปทำลายใหม่ ลายเก่าก็จะไม่มีแล้ว อย่างถุงผ้า Trader Joe's รุ่นเก่าที่มีเฉพาะโลโก้ร้าน ก็ไม่มีขายแล้ว ซึ่งเป็นรุ่นที่เราอยากได้อีกอันหนึ่ง



อีกถุงที่เด็กโข่งใจดี เด็ดมาให้อีกหนึ่งถุง เป็นถุงผ้าคอตต้อนสีแดง ลายเป้งๆอีกหนึ่งถุง ถุงที่เป็นผ้าก็จะใส่แค่พวกผักผลไม้ของแห้งที่ไม่เปียก ปัญหาก็คือ...เหมือนถุงผ้าอีกหลายๆอันที่มีอยู่....จะทำใจเอาไปใช้ใส่ของได้เมื่อไหร่ ตอนซื้อด้วยความอยากได้ก็จะตีปีกสัญญาว่าจะเอาไปใช้แน่นอน แต่พอถึงบ้านก็เก็บไว้อย่างหนาแน่น แล้วก็หันมาคว้าเอาถุงผ้าเน่าๆใบเป้งของ Macy's ใบประจำการจ่ายตลาด คล้องใหล่ออกไปทุกที หลายๆถุงจึงยังเอี่ยมอ่อง รอวันทำใจได้ที่จะเอาไปใช้อยู่



นอกจากถุงผ้าจากร้านต่างๆที่เป็นของโปรดเราแล้ว หนังสือคืออีกอย่างที่ปลื้มทุกครั้งที่ได้ สุดยอดของการอยู่เมืองนี้อีกอย่างคือร้านหนังสือ ร้านโปรดของเราในนิวยอร์คคือ strand กับอีกร้่านอยู่บนถนนหลังบ้านก็คือ St. Marks Book shop เป็นร้านหนังสือเล็กๆสไตล์อินดี้ เน้นหนังสืออาร์ตส่วนใหญ่ ที่เราชอบคือร้านหนังสือที่นี่เค้ามีพลังการขายที่มากพอ ทำให้เค้าไม่ต้องเอาไม้ปัดขนไก่มาไล่ เวลาที่เราไปเปิดดูหนังสือเค้า แล้วก็ไม่สาดสิงสาราสัตว์ใส่ในยามที่เราไม่ได้ซื้อหนังสือ ร้านหนังสือที่นี่เป็นเหมือนห้องสมุดเล็กๆได้เหมือนกัน ใครใคร่อ่านก็อ่าน นอนอ่านนั่งอ่านกันแค่ไหนก็ไม่ว่า ถึงเวลาลุกลืมเอาหนังสือไปเก็บให้เป็นที่ เค้าก็จะมาตามเก็บให้เอง




เด็กโข่งรู้ดีว่าเราชอบอะไร วันเกิดเราถึงได้หนังสือมาอีกหนึ่งเล่มอย่างไม่ต้องสงสัย เล่มนี้เป็นเล่มที่ไม่ได้คิดว่าได้มา แต่จำได้ว่าวันหนึ่งนั่งดูรายการป้ามาร์ธาอยู่ ป้าเค้าออกมาโปรโมทหนังสือเล่มใหม่ของเค้า ซึ่งเป็นหนังสืองานฝีมือ เราโพล่งออกมาว่าต้องออกไปเปิดดูซะหน่อยแล้ว เพราะเราชอบทีมการทำงานของป้าเค้า เราว่าป้าเค้ามีพลพรรคคนทำงานที่เก่งและเทสดี ทำให้สินค้าและอีกหลายๆอย่างภายใต้ชื่อ Martha Stewart มีภาพลักษณ์ที่สวยน่าดู....เรามีหนังสือของป้าเค้าหลายเล่มมาก ใช่ว่าหนังสือของป้าเค้าจะสุดยอดจากทั้งหมดทั้งปวง มีหนังสืออีกหลายเล่มที่มีเนื้อหาดีๆ แต่เราไม่ซื้อเพราะหนังสือไม่สวย อ่านยาก ภาพน้อย ชวนหลับ...เพราะแรงบันดาลใจในการทำอะไรก็แล้วแต่ของเราเกิดจากสิ่งที่ตาเราเห็นเป็นอันดับแรก ส่วนจะทำให้มันออกมาได้อย่างไร เราจะหาทางทำมันออกมาจนได้ด้วยตัวเราเอง ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยได้เสียตังค์กับหนังที่เต็มไปด้วยคำอธิบาย เนื้อหาแน่นๆ เท่าไหร่นัก ยกเว้นนิยาย



หนังสือของป้าเค้า การนำเสนอกำลังพอดีสำหรับเรา เนื้อหาไม่มากมาย เอาแค่ที่สำคัญๆ ภาพสวยๆ เชื้อเชิญให้ใช้เวลาอยู่กับหนังสือได้นานๆ เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่ภาพสวย ภาพสวยก่อให้เราเกิดแรงอยาก อยากทำให้ออกมาหมือนในภาพ การจัดหน้าหนังสือดูสบาย ชวนให้นั่งอ่าน นั่งดู ได้นานๆไม่ปวดกะบาล ไม่รู้สึกถูกยัดเยียด

วันเกิดปีนี้จึงสุขใจแบบง่ายๆอีกหนึ่งปีด้วยของขวัญราคาไม่มากไม่มาย ไม่มีราคาเท่าหลุยดิงด็อง ไม่ใช่ชาแนล ชาน้ำ แต่เป็นของที่ได้มาจากคนซื้อที่เค้ารู้ว่าเราคือใคร ความสุขของเราคืออะไร แค่นี้ก็แพงไม่มีอะไรจะเทียบแล้ว แต่ปีนี้ที่ขาดอยู่อย่างที่ไม่ได้คือขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ของแม่ กับใข่เจียวหมูสับของอา....ว่าแล้วก็ต้องโทรเช็คซะหน่อยว่าทำอะไรกินกันในวันสงกราณต์

"ปุย ทุก ปุย ปุย จะสดสวยเพราะเราดู"

Tuesday, April 7, 2009

THE MUDTRUCK, รถบรรทุกโคลน แห่ง East Village

ตั้งแต่ทำบล๊อคขึ้นมาก็กะไว้ว่า หนึ่งในเรื่องที่จะเขียนถึงคือเรื่องของรถบบรทุกโคลน สีส้มเร๊นแต๊คันนี้...แต่แล้วอาจเพราะมันคือสิ่งใกล้บ้านจนเกิน เห็นกันทุกวันมันเลยกลายเป็นของเอาไว้ก่อน



The Mud Truck คือรถขายกาแฟที่เท่ที่สุดในสายตาเรา จำได้ว่าเช้าวันหนึ่งในปี 2001 เรากำลังจะวิ่งลงหลุมซับเวย์ไปโรงเรียน ตาก็เหลือบไปเห็นเจ้ารถสีส้มแสบทะลุปอดคันนี้จอดอยู่ริมฟุตบาทตรงทางลงหลุมซับเวย์อัพทาวน์สายหก มีเสียงเพลงหลั่นล้าลอยออกมาพร้อมคนขายถักผมเปียสองข้าง ใส่เสื้อยืดสกรีน The Mud หน้าตายิ้มแย้มส่งกาแฟให้ลูกค้าไป เต้นกันไปอยู่ในรถนั้นแหล่ะ เราเลยไปยืนต่อแถว ซื้อม๊อคค่ากับเค้าด้วยหนึ่งแก้ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้ารถคันนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมาก่อน เข้าไปใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าตรงหน้าต่างที่ซื้อกาแฟมีการตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้ ตุ๊กตาหมี กระจาดใส่คุ๊กกี้ น้ำตาล น้ำผึ้ง ทุกอย่างเล็กๆน้อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวงานเปิดร้านขายของในมหาวิทยาลัยสมัยเรียน ขายกันไปเต้นกันไป คนซื้อก็พลอยเต้นไปด้วย แล้วก็ยืนซดกาแฟกันโฮกๆอยู่แถวนั้น กลายเป็นมุมยืนคุย ทักทายเพื่อนบ้านริมถนนก่อนไปทำงานของคนย่านนี้



ปี 2001 คือปีที่เราเพิ่งมานิวยอร์ค เลยหันไปถามเด็กชายโข่งว่ารถคันนี้มีมานานแล้วเหรอ เด็กชายโข่งบอกว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่แถวนี้ ประมาณห้าปีแล้วก็เพิ่งเห็นนี่แหล่ะ จากนั้นมารถบรรทุกโคลนสีส้มคันนี้ก็กลายสิ่งคุ้นเคยของชาว East Village ไป ทุกเช้าจะมีแถวยาวซะทุกเช้า เราก็เป็นหนึ่งในสมาชิกต่อแถวกับเค้าทุกเช้าก่อนไปเรียน ที่เด็ดคือรถบรรทุกโคลนคันนี้จอดอยู่กึ่งกลางระหว่าง Starbucks("The two green coffee monsters") สองร้านในละแวกนั้น เธอไม่มีหวั้น... Starbucks แถวยาวแค่ไหน The Mud Truck แถวยาวแค่นั้น เจ้าของเค้าว่าย่านอีส วิลเลจคือย่านฮิพของคนฮิพมาตั้งแต่นมนาน เป็นย่านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งหนึ่งของนิวยอร์ค เพราะฉะนั้น The Mud Truck ก็ต้องรักษาคาเรคเตอร์ของย่านฮิพๆย่านนี้ไว้ ให้คงอยู่เป็นเอกลักษณ์ของย่านนี้ต่อไป จน The Mud ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพวก anti-establishment ของย่าน East Village, New York ไปในที่สุด



The Mud Truck เพิ่งเริ่มกิจการในปี 2001 นั้นเอง โดยสองสามีภรรยาอดีตนักโฆษณากับนักดนตรีร๊อค ซึ่งเราว่าเป็นส่วนผสมกำลังดีของ The Mudt Truck รถคันนี้เคยเป็นรถของบริษัทการไฟฟ้า Con Edison มาก่อน ถ้าบ้านเราก็คือรถการไฟฟ้านั้นเอง เค้าเอามาแปลงแล้วทาสีซะใหม่ จากสีฟ้าขาว กลายเป็นส้มแปร๊ดแร๊ด ถูกใจเราอย่างแร๊งงงง เวลาผ่านไปมัดทรัคก็จอดอยู่ที่เดิมทุกวัน เหมือนเดิม จนวันหนึ่งเรากำลังเดินเล่นย่อยข้าวบนถนนเก้า ซึ่งเป็นถนนหลังบ้าน ก็ไปเดินผ่านเอาร้านกาแฟเล็กๆน่ารักเข้าร้านหนึ่ง กำลังมีปาร์ตี้เล็กๆผู้คนนั้งเล่น ยื่นเล่นกันอยู่หน้าร้าน บรรยากาศหน้าร้านน่ารัก ร้านแคบนิดเดียว มองผ่านเข้าไปลูกค้าในร้านส่วนใหญ่ก็นั่งกันอ้อยอิ่ง ประมาณว่านั่งอยู่ที่บ้านตัวเอง เงยหน้าขึ้นไปมองป้าย...เอ้านี่มัน The Mud นี่ เป็นวันเปิดร้านวันแรกของ The Mud ในย่าน East Village



คุณพระคุณเจ้า...จากไอ้รถสีส้มแร๊นแต๊คันนั้นเวลาผ่านไปไม่กี่ปีมันโตขึ้นเป็นร้านแล้วเหรอ แถมยังเป็นร้านที่เปิดขึ้นได้ในย่านนี้อีก ไม่ไกลจากเจ้ารถบรรทุกโคลนคันนั้นเลย แสดงว่ากิจการรถบรรทุกโคลนคันนี้มันไม่เบาเลยทีเดียว จากนั้นเราก็เริ่มทยอยเห็นเมล็ดกาแฟใส่ถุงแพคเกจ ที่เก๋เท่เข้าลูกกะตาเราอีกแล้ว ในยี่ห้อ The Mud ตามร้านต่างๆ ทุกวันนี้ The Mud ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของย่าน East Village, New York อย่างเต็มยศ นิวยอร์คไทม์ก็ยกย่องให้รางวัล หนังสือต่างๆก็พูดถึง รายการต่างๆก็ชื่นชมแม้แต่โอปร่ายังต้องเชิญ



เรารู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งที่เห็นการเติบโตของ The Mud จากวันแรกที่เห็นรถขายกาแฟสีส้ม มาจอดอยู่บนเส้นทางการเดินทางของเรา ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ก็แค่รถขายกาแฟสีสวยไอเดียแจ่มหนึ่งคันในนิวยอร์ค จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับนิวยอร์ค ที่ทุกวันจะมีอะไรแปลกใหม่โด่ขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนที่นี่สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆกันทุกวัน ให้เห็นกันได้ง่ายๆทุกมุมทุกซอก แต่ที่เรายังคงอึ้งอยู่กับเมืองนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือ....ความรวดเร็วของการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แค่พริบตาเดียวในเมืองนิวยอร์ค สิ่งที่เห็นที่คิดว่าเพิ่งงอก กลายเป็นต้นใหญ่แผ่กิ่งก้าน ในแค่ชั่วพริบตา....แต่เท่าที่สังเกตุสิ่งที่ช่วยให้การเดินทางสู่ดวงดาวได้เร็วขึ้นในนิวยอร์คคือ....คุณสมบัติที่ต้องเป็นตัวของตัวเอง อย่างยึดมั่นถือมั่น เหมือนรถบรรทุกโคลนอร่อยๆคันนี้ ที่อาจหาญลุกขึ้นมาแต่งตัวสีแปร๋น แล้วเข้าไปยืนแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้ากาแฟยักษ์สีเขียว อย่างไม่หวาดหวั่น...จนในที่สุดกาแฟสีส้มแก้วนี้ก็กำลังเข้มข้นขึ้นทุกวัน ทุกวัน....จนวันนี้เจ้า Green coffee monster หนึ่งร้านตรงหัวมุมถนน 3 ปิดประตูร้านถาวรไปหนึ่งร้านแล้ว แต่เจ้ามัดทรัคสีส้มแปร๊ดคันนี้ก็ยังจอดอยุ่ที่เดิม อย่างไม่หวั่นแม้วันลมแรง