จำได้ว่าสมัยเด็กๆ เราเป็นเด็กที่รวยตุ๊กตากระดาษมาก เพราะวาดเองหมดทุกตัว อยากได้แบบไหน ชาติไหน หน้าตาดี หน้าตาร้าย เราวาดได้หมดทุกแบบ แถมตุ๊กตาเราแต่ละตัวทรวดทรงองค์เอวครบส่วนชัดเจน ไม่มีเลยที่จะวาดออกมาแล้วตรงๆทื่อๆ อกไม่มี เอวไม่มี จมูกเบี้ยว คิ้วไม่เท่ากันอย่างนั้นไม่มี วาดเองเล่นเอง จับมาแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้ากระดาษ มันอย่างแร๊งงงงง เสือ้ผ้าก็วาดเอง ออกแบบเอง จะเอาให้เพิ้งแค่ไหนก็ไม่มีใครนินทา....นอกเสียจากเวลาเล่นแล้วสร้างเรื่องให้มีการนินทากันเกิดขึ้น แล้วจบด้วยตบกันจนแขนขาด คอฉีกก็มี เพราะเห็นนังดาวพระศุกร์โดน นางเอกเราเลยต้องโดนมั๊งไม่งั้นไม่อิน
วันนี้เข้าไปเดินใน Etsy อีกแล้ว ได้ของมาเล่นอีกจนได้จากร้าน helis เป็นตุ๊กตายัดนุ่นด้วยรูปทรงตามเรื่องตามราว แล้วก็ screen ลายเส้นลงไป เห็นแล้วประทับใจป้าอีกแล้ว ไม่ต้องมากต้องมาย ไม่ต้องหะรูหะราเป็นตุ๊กตาตาแป๋ว ขนดก น่ารัก น่าทึ้ง....เพียวๆซื่อๆอย่างนี้ น่าคบเป็นเพื่อนเล่นมากกว่ากันเยอะ
Monday, June 30, 2008
Sunday, June 29, 2008
ฉลาดเก็บ ฉลาดใช้
ช่วงนี้ออกล่า idea สำหรับปรับเปลี่ยนการดำรงค์ชีวิตใหม่ในพื้นที่เท่าเดิม แค่ย้ายทิศ ย้ายทาง ให้ได้พื้นที่มากขึ้น
ก็ไปเดินสะดุุดเอาความคิดเข้าที่เข้าทาง ฉลาดเก็บ ฉลาดใช้ สร้างขึ้นมาให้เหมาะกับการอยู่ในพื้นที่จำกัด
อย่างเก้าอี้ลิ้นชักอันนี้จาก Usona ดูแล้วเห็นภาพเลยว่าบรรดาเครื่องทอง เครื่องถม ประกอบการรำลิเกของเราเข้าไปอยู่ในลิ้นชักนี้ได้อย่างงดงาม
ภาพผ่าน
..................................................................................................
ส่วนอีกอันเป็นอีก idea ที่เก่งกาจจาก Sandy Lam บัณฑิดหมาดๆจาก Emily Carr University of Art + Designi ชาวฮ่องกง ดีไซด์จุดนั่งพักกาย พักใจ ภายในพื้นที่ระเบียงกว้างแค่ยืนหมุน เห็นแล้วนึกถึงบ้านหลังหนึ่งที่สร้างโดยสถาปนิคชาวจีน เค้าดีไซด์ให้เฟอร์นิเจอร์ใช้สอยในบ้าน สามารถพับเก็บไว้ใต้พื้นได้หมด
อยากใช้อันไหนก็ดึงขึ้นมาใช้ ใช้เสร็จก็พับเก็บลงไป...เก่งจริงๆ แต่ถ้าบ้านเราดีไซด์ให้เป็นอย่างนั้นสิ่งที่กลัวคือ ป้าเพิ้งอย่างเราจะจำได้มั๊ยเนี้ยว่า โต๊ะสับหมูป้าอยู่ตรงพื้นกระดานแผ่นที่เท่าไหร่ กว่าจะเปิดเจอคงแก่เข้าไปอีก
ภาพผ่าน
...........................................................................................
อีกอันที่ชอบคือกล่่องสี่เหลี่ยม ออกลูกออกหลานเป็นเก้าอี้ อันนี้ชอบมากเพราะเหมาะกับเรารสนิยมเพิ้งของเรา ชอบเก็บโน้นเก็บนี้เยอะๆ(คิดว่า)เอาไว้ใช้ยามต้องการ แต่ส่วนใหญ่เก็บเอาไว้ และยังไม่เคยได้โอกาส "ต้องการใช้" ซะที กล่องนี้เป็นงานออกแบบของ Naho Matsuno ดูแล้วก็เหมือนเดิมปรบมือหลายๆแปะให้นักออกแบบ ช่างคิดช่างฉลาด แล้วก็หันกลับมาดูตัวเอง เปอร์เซ็นที่จะเก็บกลับเข้าไปให้มันเป็นกล่องเหมือนเดิมท่าจะเกินหยักสมองป้า ทุกวันแค่พับเก็บโต๊ะรีดผ้าก็เครียดแล้ว
ภาพผ่าน
......................................................................................................
ส่วนอีกอันคิดว่าเคยเห็นกันบ่อยๆในสไตล์เก็บเรียบแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นไอเดียที่ไม่ใหม่เท่าไหร่แต่ในแง่ของการดีไซด์ การประกอบคง
ทางใครทางมัน จะเข้าล็อคแบบไหน เชื่อว่าแต่ละนักออกแบบก็มีขั้นตอนการประกอบแตกต่างกันไป
และสไตล์เก็บเรียบแบบนี้ก็ต้องยกนิ้วให้นักออกแบบชาวญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วกับการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ใช้สอยเพื่อพื้นที่เล็กๆ ว่าแต่ดูจากเก้าอี้มันช่างแบ่งชนชั้นสูงต่ำจริงๆ ใครสูงใครตำ คงต้องตกลงกันให้ดีก่อนนั่ง จะได้เสมอภาค
ภาพผ่าน
ก็ไปเดินสะดุุดเอาความคิดเข้าที่เข้าทาง ฉลาดเก็บ ฉลาดใช้ สร้างขึ้นมาให้เหมาะกับการอยู่ในพื้นที่จำกัด
อย่างเก้าอี้ลิ้นชักอันนี้จาก Usona ดูแล้วเห็นภาพเลยว่าบรรดาเครื่องทอง เครื่องถม ประกอบการรำลิเกของเราเข้าไปอยู่ในลิ้นชักนี้ได้อย่างงดงาม
ภาพผ่าน
..................................................................................................
ส่วนอีกอันเป็นอีก idea ที่เก่งกาจจาก Sandy Lam บัณฑิดหมาดๆจาก Emily Carr University of Art + Designi ชาวฮ่องกง ดีไซด์จุดนั่งพักกาย พักใจ ภายในพื้นที่ระเบียงกว้างแค่ยืนหมุน เห็นแล้วนึกถึงบ้านหลังหนึ่งที่สร้างโดยสถาปนิคชาวจีน เค้าดีไซด์ให้เฟอร์นิเจอร์ใช้สอยในบ้าน สามารถพับเก็บไว้ใต้พื้นได้หมด
อยากใช้อันไหนก็ดึงขึ้นมาใช้ ใช้เสร็จก็พับเก็บลงไป...เก่งจริงๆ แต่ถ้าบ้านเราดีไซด์ให้เป็นอย่างนั้นสิ่งที่กลัวคือ ป้าเพิ้งอย่างเราจะจำได้มั๊ยเนี้ยว่า โต๊ะสับหมูป้าอยู่ตรงพื้นกระดานแผ่นที่เท่าไหร่ กว่าจะเปิดเจอคงแก่เข้าไปอีก
ภาพผ่าน
...........................................................................................
อีกอันที่ชอบคือกล่่องสี่เหลี่ยม ออกลูกออกหลานเป็นเก้าอี้ อันนี้ชอบมากเพราะเหมาะกับเรารสนิยมเพิ้งของเรา ชอบเก็บโน้นเก็บนี้เยอะๆ(คิดว่า)เอาไว้ใช้ยามต้องการ แต่ส่วนใหญ่เก็บเอาไว้ และยังไม่เคยได้โอกาส "ต้องการใช้" ซะที กล่องนี้เป็นงานออกแบบของ Naho Matsuno ดูแล้วก็เหมือนเดิมปรบมือหลายๆแปะให้นักออกแบบ ช่างคิดช่างฉลาด แล้วก็หันกลับมาดูตัวเอง เปอร์เซ็นที่จะเก็บกลับเข้าไปให้มันเป็นกล่องเหมือนเดิมท่าจะเกินหยักสมองป้า ทุกวันแค่พับเก็บโต๊ะรีดผ้าก็เครียดแล้ว
ภาพผ่าน
......................................................................................................
ส่วนอีกอันคิดว่าเคยเห็นกันบ่อยๆในสไตล์เก็บเรียบแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นไอเดียที่ไม่ใหม่เท่าไหร่แต่ในแง่ของการดีไซด์ การประกอบคง
ทางใครทางมัน จะเข้าล็อคแบบไหน เชื่อว่าแต่ละนักออกแบบก็มีขั้นตอนการประกอบแตกต่างกันไป
และสไตล์เก็บเรียบแบบนี้ก็ต้องยกนิ้วให้นักออกแบบชาวญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วกับการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ใช้สอยเพื่อพื้นที่เล็กๆ ว่าแต่ดูจากเก้าอี้มันช่างแบ่งชนชั้นสูงต่ำจริงๆ ใครสูงใครตำ คงต้องตกลงกันให้ดีก่อนนั่ง จะได้เสมอภาค
ภาพผ่าน
Monday, June 23, 2008
พ่อเจ้าแม่เจ้าผ้าพันคอ
วันนี้ย้ายของในบ้านทั้งวัน เพิ่งจะได้เวลามานั่งแหมะหน้าคอม หน้าร้อนแล้วได้เวลาปรับปรุง ช่อมบ้านย้ายของเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางตั้ง นี่ก็ลองย้ายเตียงขึ้นไปติดหลังคา
แล้วจะลองนอนดูว่าหายใจออกมั๊ย คืนไหนเมาน้ำแดงจะปีนขึ้นไปนอนรอดมั๊ย....
เดี๋ยวก็รู้
หลังจากมานั่งแหมะอยู่หน้าคอมหานู้นหานี้ดู
ก็ไปป๊ะเอากับเวปนี้ สินค้าตัวนี้ เห็นแล้วร้องโฮกฮาก
พ่อเจ้าแม่เจ้าผ้าพันคอจริงๆเห็นแล้วต้องแจ้นเข้ามาพิมพ์ๆๆๆ....
เป็นผ้าพันคอที่"ท่าจะโดน"จาก Little Factory ช่างคิดช่างทำกันจริงหนอ ล่อให้กระเป๋าตังค์ชาวบ้านอย่างเราร้อนลุกเป็นไฟ
แล้วจะลองนอนดูว่าหายใจออกมั๊ย คืนไหนเมาน้ำแดงจะปีนขึ้นไปนอนรอดมั๊ย....
เดี๋ยวก็รู้
หลังจากมานั่งแหมะอยู่หน้าคอมหานู้นหานี้ดู
ก็ไปป๊ะเอากับเวปนี้ สินค้าตัวนี้ เห็นแล้วร้องโฮกฮาก
พ่อเจ้าแม่เจ้าผ้าพันคอจริงๆเห็นแล้วต้องแจ้นเข้ามาพิมพ์ๆๆๆ....
เป็นผ้าพันคอที่"ท่าจะโดน"จาก Little Factory ช่างคิดช่างทำกันจริงหนอ ล่อให้กระเป๋าตังค์ชาวบ้านอย่างเราร้อนลุกเป็นไฟ
Saturday, June 21, 2008
อันนี้กินได้มั๊ย!
สบู่ครีมจากร้าน Satin Petal Soap นี่ก็เพิ่งจะเคยเห็นกับเค้า เอามาทาล้าง ทาล้าง ท่าจะเปลือง
เพิ่งกลับจากตลาดแวะไปซื้อสบู่เพราะที่บ้านหมดพอดี เลยหอบกลับมาฝากมนุษย์ขวาหันด้วย...ย้อนกลับไปเมื่อหลายต่อหลายเดือนก่อน พี่สาวบินมาจาก Chicago หลังจากพี่แวะไปกอดแฟนเค้ามาแล้ว เวลาเหลือเลยได้แวะมากอดน้องแล้วก็ยื่นถุงเล็กๆมาให้หนึ่งถุง กลิ่นมันหอมจริงๆคิดว่าเป็นขนม ยังคิดในใจว่าขนมร้านนี้ท่าทางจะหะรูหะรา เพราะถุงสวยงามเหลือเกิน เปิดออกมาดูกลายเป็นสบู่สองก้อนจากร้าน sabon เป็นสบู่ทำมือที่ไม่เคยสนใจ เดินผ่านร้านก็หลายหน เดินตาม street fair เห็นเค้าขายกัน หั่นกัน สดๆเหมือนขายขนมก็ไม่ชายตา จนพี่เอามายัดใส่มือให้ ตั้งแต่นั้นมาก็เลิกซื้อสบูู่ก้อนทั่วๆไปเพราะดันมาติดใจสบู่ทำมือแบบนี้ซะ...เสียงพ่อเทพบุตรข้างๆ
ครางว่าซวยแล้วมั๊ยกู ซื้อสบู่ทั่วไปหกก้อนสองเหรียญกว่า ซื้อสบู่ทำมือก้อนเดียวหกเหรียญกว่า(แม่ผิวเทวดานางฟ้า) เคยอ่านเจอที่ไหนจำไม่ได้ เค้าว่าถ้าลองได้ใช้สบู่ทำมือซักครั้งแล้วจะไม่หันกลับไปใช้สบู่จากโรงงานอีกเลย เพราะคำพูดนี้มั๊งที่ทำเอาเราไม่อยากชายตามองสบู่พวกนี้...อย่ามาล่อลวงไม่มีหลงลงไปเด็ดๆ สุดท้ายจอด ปรกติก็จะให้พ่อเทพบุตรแวะซื้อให้ช่วงเดินกลับจากที่ทำงาน เพราะทางผ่านผ่านร้าน sabon หลังจากเจอตลาด Etsy ก็ไม่ต้องแวะ sabon แล้ว เพราะซื้อได้ที่ปลายจมูก พ่อค้าแม่ค้าทำสบู่แถวนี้ต้องยกหัวแม่โป้งกลมๆให้เลย ทำสบู่มาล่อน้ำลายให้ชีวิตมันสับสนเล่นได้ดีจริงๆ
อันนี้เป็นก้อนจากร้านเดียวกัน...ถูๆอยู่มันหลุดเข้าไปอยู่ในปากทำไงหล่ะ
ส่วนอีกสองอันนี้จากร้าน Mooka(หมูเองคะ)
เห็นสบู่แบบนี้แล้วโกรธ เพราะอยากทำเป็นกับเค้ามั๊ง แต่ละเจ้าทำกันออกมาน่าใช้ ไม่พูดพล่ามทำเพลงหาหนังสือ เสริช์ข้อมูลมาอ่าน ซื้อของเค้ามาใช้พักหนึ่งแล้ว สุดท้ายก็ถึงเวลา ว่าแล้วก็จิ้มแป้นสั่งวัตถุดิบการทำสบู่มาตั้งเตรียมเอาไว้เรียบร้อย เพราะ...จะทำสบู่ใช้เอ๊ง...พ่อเทพบุตรครางอีกรอบ ซวยอีกแล้วกูซื้อของเค้าใช้ก้อนหนึ่งหกเหรียญ นี่มันจะทำเองสั่งซื้อวัตถุดิบเริ่มที่ครั้งแรกหมดไปแล้วเกือบสองร้อย แถมจะใช้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะมันคิดเอาเองอีกแล้วว่า"หนูทำได้" เลยต้องออกไปซื้อสบู่ชาวบ้านมาเตรียมเอาไว้ก่อน ในกรณีที่ทำออกมาแล้วแทนที่จะได้เอาไปถูผิวคน กลับต้องเอาไปถูผิวพิืื้นห้องน้ำแทน
สองก้อนนี้จากร้าน Purusha เป็นร้านที่ซื้ออยู่ เห็นแล้วนึกถึงขนมกวนๆบ้านเรา กลิ่นก็อ่อนๆผู้รากมากดีมากๆ ซึ่งต่างกับความเป็นอยู่ของคนใช้โดยสิ้นเชิง
กะว่ากลับบ้านเที่ยวนี้จะซื้อไปฝากแม่ รู้ว่าแม่ชอบกิน *Q*
นามบัตรสำหรับคนใจเดาะ
ช่วงนี้เห็นหลานๆวัยวุ่นวายกำลังใจเดาะ(เค้าว่างั้น)เราก็เลยดีใจด้วย เกิดมาเป็นคนมันต้องมีประสบการณ์เรื่องความผิดหวัง ชีวิตจะได้มีเรื่องราวไว้สำหรับเรียนรู้ และแก้ปัญหา(ภาษาป้ามาอีกแล้ว)
เปิดคอมดูนู้นดูน่าก็ไปป๊ะเข้ากับนามบัตรสำหรับคนอกอักเสบ สำหรับเราแล้วนามบัตรเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจถ้าคิดอยากจะทำธุรกิจกับ
ผู้คน เราชอบดูนามบัตรของคนเพราะนามบัตรบางครั้งก็สามารถบอกบุคลิก รสนิยม ขอคนที่ยื่นนามบัตรมาให้เราได้คร่าวๆเหมือนกัน อย่างนามบัตรสองชิ้นนี้ ที่เจ้าของนามบัตรช่างกล้าที่จะลงทุน
และกล้าที่จะแหวก ขณะที่ความเป็นจริงของธุรกิจการทำและแจกนามบัตรมันช่างตรงกันข้าม จะมีซักกี่นักออกแบบที่จะได้ลูกค้าผู้กล้าอย่างนี้ส่วนมากที่เจอคือ "แค่นามบัตรไม่ต้องลงทุนให้มันมาก เพราะเอาไว้แจก ไม่ได้เอาไว้ขาย"....จบข่าวนักออกแบบหันหลังกลับไปขายถั่วทอด หนอนทอด แทน
อันนี้ออกแบบโดยMaster Promo, Curitiba, Brazil
ภาพจาก Ads of the World
เจ้าของนามบัตรมีอาชีพเป็นที่ปรึกษาด้านชีวิตคู่
designer เค้าเลยดีไซน์ออกมาอย่างในรูปที่เห็นเพื่อสื่อเข้ากับลักษณะของธุรกิจของเจ้าของนามบัตร ประมาณว่าเมื่อไหร่ที่หัวใจถูกฉีกขาดก็ยังมีชื่อ Marisa Schmidt Silva พร้อมที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์อยู่ให้นึกถึง...
แต่ถ้าสำหรับคนอย่างเรา(ที่บ้านนับถือผี)แอบคิดไปว่า โดยอาชีพของคนให้คำปรึกษาชีวิตปวดร้าว มันน่าจะสื่อถึงการประสานดีกว่าการฉีกทิ้ง...มั๊ย
เลยมีอันนี้มาอีกอัน แต่ทีนี้ก็คืออันไหนมันเท่กว่ากันหล่ะ...
ภาพจาก creativebits
เปิดคอมดูนู้นดูน่าก็ไปป๊ะเข้ากับนามบัตรสำหรับคนอกอักเสบ สำหรับเราแล้วนามบัตรเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจถ้าคิดอยากจะทำธุรกิจกับ
ผู้คน เราชอบดูนามบัตรของคนเพราะนามบัตรบางครั้งก็สามารถบอกบุคลิก รสนิยม ขอคนที่ยื่นนามบัตรมาให้เราได้คร่าวๆเหมือนกัน อย่างนามบัตรสองชิ้นนี้ ที่เจ้าของนามบัตรช่างกล้าที่จะลงทุน
และกล้าที่จะแหวก ขณะที่ความเป็นจริงของธุรกิจการทำและแจกนามบัตรมันช่างตรงกันข้าม จะมีซักกี่นักออกแบบที่จะได้ลูกค้าผู้กล้าอย่างนี้ส่วนมากที่เจอคือ "แค่นามบัตรไม่ต้องลงทุนให้มันมาก เพราะเอาไว้แจก ไม่ได้เอาไว้ขาย"....จบข่าวนักออกแบบหันหลังกลับไปขายถั่วทอด หนอนทอด แทน
อันนี้ออกแบบโดยMaster Promo, Curitiba, Brazil
ภาพจาก Ads of the World
เจ้าของนามบัตรมีอาชีพเป็นที่ปรึกษาด้านชีวิตคู่
designer เค้าเลยดีไซน์ออกมาอย่างในรูปที่เห็นเพื่อสื่อเข้ากับลักษณะของธุรกิจของเจ้าของนามบัตร ประมาณว่าเมื่อไหร่ที่หัวใจถูกฉีกขาดก็ยังมีชื่อ Marisa Schmidt Silva พร้อมที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์อยู่ให้นึกถึง...
แต่ถ้าสำหรับคนอย่างเรา(ที่บ้านนับถือผี)แอบคิดไปว่า โดยอาชีพของคนให้คำปรึกษาชีวิตปวดร้าว มันน่าจะสื่อถึงการประสานดีกว่าการฉีกทิ้ง...มั๊ย
เลยมีอันนี้มาอีกอัน แต่ทีนี้ก็คืออันไหนมันเท่กว่ากันหล่ะ...
ภาพจาก creativebits
Thursday, June 19, 2008
icff 2008 ไปไม่ทันแล้วยังจะพูด
ตอนนี้บ้านกำลังเป็นถังขยะในไซท์ก่อสร้าง เหตุก็เพราะเมื่อสามเดือนที่แล้ว basement ของตึกเกิดไฟใหม้ ท่อส่งแก๊ซเลยต้องโดนตัด ห้องทำน้ำร้อน ส่งแอร์ร้อนของตึก ต้องซ่อมใหม่หมด ช่วงนี้ตึกเพิ่งได้เวลาจุดธูปเชิญเจ้าพ่อมาลงองค์ เพื่อทำพิธีต่อท่อแก๊ซใหม่ ต้องเรียกว่าเหล่าเจ้าพ่อ เพราะท่านทำงานกันตามสปีดของเจ้า คือมาไว ไปไว จะมาอีกทีก็ต้องรอเวลาสวรรค์เปิด ไอ้มนุษย์ที่รอทอดไข่ เจียวกระเทียม อย่างเราก็รอท่านกันไปก่อน เข้าของที่รื้อออกมาก็ต้องสุมไว้ตามมุมต่างๆ เวลาเดินก็เขย่งเก้ากระโดดเอา ช่างอินเทรนด์ช่วงโอลิมปิกเมืองจีนจริงๆ ในเมื่อไม่มีมุมให้หมุนรอบตัว ก็นั่งแหมะมันหน้าคอมนี่แหละ ปล่อยแมงโม้อีกซักถัง
นั่งเปิดนู้นเปิดนี่ก็เจอเอารูปที่ถ่ายไว้จากงานเฟอร์นิเจอร์โชว์ชื่อ icff ปีนี้วันยีกับโรเจอร์มาร่วมโชว์นี้กับเค้าด้วยเป็นปีแรก
ปรกติจะมากันเฉพาะงานโชว์ของขวัญ ของแต่งบ้านเท่านั้น ทุกครั้งวันยีจะส่งส่วนบุญมาให้ด้วยป้ายห้อยคอสำหรับคนได้รับอนุญาติให้เข้างาน
งานนี้ก็เหมือนกัน แต่กระนั้นก็เถอะ งานเค้ามีถึงสี่วัน ได้ไปเอาวันสุดท้าย เวลาสุดท้าย ไปถึงทางเดินเริ่มเต็มไปด้วยลังไม้ใส่ของ...เค้าเริ่มเก็บบูธกันแล้ว"ป้า"(ตะโกนดังๆซะให้สมฐานะ)
วันยีไล่ให้รีบไปเดินดู เลยแว๊บเดินดูงานตามจังหวะหาควายหลงฝูง โฉบทางโน้นที ทางนี้ที ไอ้จะล่าถ่ายรูปก็ไม่ค่อยจะเหลือบูธให้ถ่ายแล้วแถมอารมณ์ความอยากจะพินิจพิเคราะห์ด้วยตามันมีมาก
กว่า ที่จะมามัวยืนส่องผ่านจอ LCD กับท่าคนแก่สายตายาวพยายามอ่านหนังสือ(ดูยังไงก็ไม่เปรี้ยว) งานนี้เลยจบลงด้วยอารมณ์แบบ "ปัดโท่" เพราะถึงแม้ทางเดินจะเริ่มเต็มไปด้วยลัง แต่ก็ยังพอเห็นร่องรอยของบูธสวยๆ เฟอร์นิเจอร์เก๋ๆ เสาไฟเท่ๆอยู่บ้าง...ได้แต่เดินเสียดายตาห้อยถึงพื้น
สุดท้ายเดินจนตาตุ่มไปเตะเอาลังชาวบ้านเค้านั้นแหละ ถึงได้หมุนตัวกลับมาช่วยวันยี-โรเจอร์ เก็บของลงลัง...ห่อของไป ก็ไม่วายเล็มๆขบขอบลังถามโรเจอร์ "ปีหน้ายูมาอีกมั๊ยโชว์เนี๊ย!!งานยูดูดีเสริมสร้างโชว์เค้าจริงๆนะ"...
เพราะคิดไว้แล้วว่าถ้ามากันอีกจะไม่พลาดเลย โรเจอร์ตอบ "ไม่รุ๊...จริงแล้วชั้นไม่ค่อยชอบโชว์นี้เท่าไหร่" นั้นไงกลิ่นแห้วต้มเกลือติดอยู่ปลายจมูกเลย...
นั่งเปิดนู้นเปิดนี่ก็เจอเอารูปที่ถ่ายไว้จากงานเฟอร์นิเจอร์โชว์ชื่อ icff ปีนี้วันยีกับโรเจอร์มาร่วมโชว์นี้กับเค้าด้วยเป็นปีแรก
ปรกติจะมากันเฉพาะงานโชว์ของขวัญ ของแต่งบ้านเท่านั้น ทุกครั้งวันยีจะส่งส่วนบุญมาให้ด้วยป้ายห้อยคอสำหรับคนได้รับอนุญาติให้เข้างาน
งานนี้ก็เหมือนกัน แต่กระนั้นก็เถอะ งานเค้ามีถึงสี่วัน ได้ไปเอาวันสุดท้าย เวลาสุดท้าย ไปถึงทางเดินเริ่มเต็มไปด้วยลังไม้ใส่ของ...เค้าเริ่มเก็บบูธกันแล้ว"ป้า"(ตะโกนดังๆซะให้สมฐานะ)
วันยีไล่ให้รีบไปเดินดู เลยแว๊บเดินดูงานตามจังหวะหาควายหลงฝูง โฉบทางโน้นที ทางนี้ที ไอ้จะล่าถ่ายรูปก็ไม่ค่อยจะเหลือบูธให้ถ่ายแล้วแถมอารมณ์ความอยากจะพินิจพิเคราะห์ด้วยตามันมีมาก
กว่า ที่จะมามัวยืนส่องผ่านจอ LCD กับท่าคนแก่สายตายาวพยายามอ่านหนังสือ(ดูยังไงก็ไม่เปรี้ยว) งานนี้เลยจบลงด้วยอารมณ์แบบ "ปัดโท่" เพราะถึงแม้ทางเดินจะเริ่มเต็มไปด้วยลัง แต่ก็ยังพอเห็นร่องรอยของบูธสวยๆ เฟอร์นิเจอร์เก๋ๆ เสาไฟเท่ๆอยู่บ้าง...ได้แต่เดินเสียดายตาห้อยถึงพื้น
สุดท้ายเดินจนตาตุ่มไปเตะเอาลังชาวบ้านเค้านั้นแหละ ถึงได้หมุนตัวกลับมาช่วยวันยี-โรเจอร์ เก็บของลงลัง...ห่อของไป ก็ไม่วายเล็มๆขบขอบลังถามโรเจอร์ "ปีหน้ายูมาอีกมั๊ยโชว์เนี๊ย!!งานยูดูดีเสริมสร้างโชว์เค้าจริงๆนะ"...
เพราะคิดไว้แล้วว่าถ้ามากันอีกจะไม่พลาดเลย โรเจอร์ตอบ "ไม่รุ๊...จริงแล้วชั้นไม่ค่อยชอบโชว์นี้เท่าไหร่" นั้นไงกลิ่นแห้วต้มเกลือติดอยู่ปลายจมูกเลย...
Monday, June 16, 2008
เอ็ทซี่ (Etsy) ตลาดรวมมนุษย์หัวอินดี้
เปิดบ้านวันแรกก็ต้องแนะนำตลาดแถวบ้านกันก่อนเลย เป็นตลาดที่(ถือว่า)ใหม่ สร้างเมื่อ 2005 จนทำให้อีเบย์หน้าขึ้นฝ้าไปแล้วตอนนี้ เป็นตลาดซื้อขายงานทำมือ handmade ที่กำลังอ้วนขึ้นๆ ในวงคนที่สนใจงานดีไซน์ทำมือ ที่ผลิตออกมาในจำนวนน้อย บางชิ้นก็กลายเป็นงานชิ้นเดียวในโลก (One of a kind)
Etsy เอ็ทซี่เป็นตลาดอินดี้ออนไลน์ที่สร้างขึ้นสำหรับซื้อขายของทำมือ handmade เท่านั้น คนบางกลุ่มเริ่มเอือมกับการใช้ของ ที่ผลิตออกมาจากโรงงาน ซึ่งมักจะทำออกมาเหมือนๆกัน โดยเฉพาะคนที่ชอบสร้่างความเป็นเอกลักษณ์ให้ตัวเอง ก็จะหันมาซื้อของที่ผ่านการออกแบบและผลิตออกมาจากคนๆเดียวกัน ที่มักมีกำลังทำได้น้อยๆ เพราะของเหล่านั้นกลายเป็น One of a kind หรือหนึ่งเดียวในโลกในที่สุด
ตลาดงาน handmade ในอเมริกา(พูดได้แค่อเมริกาเพราะไม่เคยอยู่ที่อื่น)
เป็นตลาดที่ได้รับการยกย่องและสนับสนุน ถือได้ว่าเป็นตลาดไอโซในความรู้สึกของคนเขียน เพราะของบางชิ้นมันแพงตับดับเอาเหมือนกันถ้าเทียบกับของที่ขายอยู่ตามร้าน
บ่อยครั้งที่เห็นของใน Etsy แล้วน้ำลายย้อยถึงหัวเข่า แต่เปิดกระเปําตังค์ตัวเองแล้วก็ต้องดูดน้ำลายกลับ (แหยะมั๊ยนั้น)
ถุงผ้าจาก EtsyLabs
ปลาหมึกยักษ์จากdeelind
ของ handmade ซื้อบ่อยๆแล้วจะติด เพราะอาการครึ้มเวลาที่ถูกบุกรุกด้วยคำถาม
"อ๊ายยย...ไปซื้อที่ไหนมา" มันออกฤทธ์แรงกว่าการดมพิมเสน
Etsy ทุกวันนี้จึงเป็นทั้งตลาดขายของ One of a kind เป็นแหล่งรวมแรงบรรดาลใจให้คนทำงานดีไซน์ ได้เดินวนสำรวจหาไอเดียใหม่ๆ มาใช้ในชีวิตประจำวัน จะซื้อ จะแค่ชม หรือจะแค่พูดถึง
ก็เข้าไปเดินได้มันไม่แพ้ตลาดสด ต่างกันแค่ตลาดนี้เดินแล้วขาไม่เลอะจากรองเท้าแตะดีดน้ำล้างพื้นใส่ก็เท่านั้นเอง
ขวาหัน นิ้วเดิน ปล่อยแมงโม้บินข้ามโลก
หลังจากหันซ้ายหันขวาอยากจะสร้างบ้านอีกหลัง สุดท้ายก็ตัดสินใจหันขวาแล้วก็ลงชื่อสร้างบ้่านกับบล็อกเกอร์อีกหลัง
(คนมันรวย)แรกเลยว่าจะสร้างกับอีกยี่ห้อแต่เค้าพูดไทยไม่ได้
น่าเสียดายแทน ที่อดได้สมาชิกลูกบ้านใหม่เป็นสาวไทยไหล่งามอย่างนี้อีกคน
ว่าแล้วก็ขอเปิดบ้านอย่างเป็นทางการ...ชื่อที่ได้เจิมมาสำหรับบ้านนี้คือบ้าน "ขวาหัน" เหตุก็เพราะช่วงหันซ้ายหันขวาหาช่องลง หันขวาเจอ Fillip Stark หันซ้ายเจอ Albert Einstein เลยรู้แน่ชัดว่าต้องหันขวา หันซ้ายแล้วคงต้องดับเพราะพูดจาแบบใส่สูตร พาย อาร์ ไม่เป็น
เนื่องจากฐานะของเจ้าของบ้านค่อนข้างมั่งมี ถ้าพูดถึงการร่ำรวยอยู่ในจอสี่เหลี่ยม ของแต่งบ้านบ้านนี้จึงจะเต็มไปด้วยงานออกแบบ งานศิลปะจากทุกมุมโลกเท่าที่นิ้วชี้จิ้มแป้นของเจ้าของบ้านจะหามาใส่บ้านได้
บ้านนี้จะเปิดไว้ 24 ชั่วโมงเพื่อพี่น้องท้องไม่เดียวกันได้เข้ามาแวะดูนู้นดูนี่ตามใจอยาก เจ้าของบ้านอาจไม่ได้นั่งอยู่ 24 ชั่วโมงเพราะต้องออกทำมาหากินเผื่อจะรวยนอกจอกับเค้าบ้าง ส่วนเรื่องการเขียนต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ ความสามารถทางการพิมพ์ได้แค่นิ้วชี้ ความสามารถทางการสะกดคำยังเลินเล่อจนได้ถ้วยอยู่ แต่จะทำให้ดีที่สุด
Subscribe to:
Posts (Atom)