Tuesday, December 30, 2008
หนึ่งช้อนชา เอาชาใส่ช้อน ด้วยช้อนชงชา
ช่วงที่ผ่านมาออกท่องเมืองหาอุปกรณ์มาทำของขวัญ holidays แจกผู้คน ไม่วายต้องแวะร้่านโปรด PYLONES ทุกครั้งไป เป็นบริษัทผลิตของเล่น ของใช้ ของฝาก ของขวัญ สีสันเจ็บตา ดีไซด์เจ็บกระเป๋าตังค์จากฝรั่งเศษ นอกเหนือจากงานดีไซด์ยี่ห้อตัวเองแล้วเค้ายังเอาของดีไซด์จากที่อื่นมาใส่ไว้ในร้านด้วย อย่างช้อนชงชาไอเดียดี ดีไซด์โดยบริษัท Product Design จากฮ่องกง ชื่อ Zanif เห็นปุ๊ปเสียตังค์ปั๊บ....ฟังเค้าดีไซด์ แล้วเสียตังค์เมื่อชอบของเค้า...จริงๆ
ก่อนกลับบ้านคราวที่แล้วเลยเด็ดมาสองช้อน ว่าจะเอาไปฝากเพื่อนที่เมืองไทย จนแล้วจนรอดก็ติดกระเป๋ากลับมานิวยอร์คอีกที เพราะได้รับเลือกให้เป็น ส.ส ออกเยี่ยมญาติ จนไม่มีเวลาเยี่ยมเพื่อน....สุดท้ายต้องแกะมาใช้เอง ซึ่งก็ถูกใจเป็นที่สุด เพราะหลังๆมากลายเป็นคนติดชา ใครจะติดยา ติดหญิง เราไม่สน ขอแค่เราติดชาแค่นี้ก็ไฮได้ โดยเฉพาะช่วงน้ำร้อนลวกคอลงไปดังวูบ...ช่วงนั้นจะไฮสุดๆ
ช้อนชงชาฉลาดๆช้อนนี้เลยกลายเป็นอุปกรณ์เฉพาะตัวไปเลย เหมือนคนฉีดยามีหลอดฉีดยาส่วนตัว เราก็มีช้อนชงชาส่วนตัวเหมือนกัน ก่อนนี้จะกินชาทีต้องขอทำตัวเหมือนฮ่องเต้ ไปขุดไปหากาใส่ชาอย่างที่เค้าว่าเด็ด ว่าแจ๋วมาใช้ ทั้งๆที่รู้ก็รู้ว่าตัวเองนั้นใช้ชีวิตแบบพิธีรีตรองกับชาวบ้านเค้าไม่ได้(นาน) ก็ต้องกลับไปทำเถื่อนอย่างเดิมๆในที่สุด
สุดท้ายเมื่อแกะเอาช้อนนี้มาชงชา...เท่านั้น...หัวใจเบิกบาน ต่อแต่นี้ไปไม่ต้องกรีดนิ้ว ปาดฝากา ชงชาแบบเดิมๆกันอีกแล้ว
ตักผงชาใส่ช้อน รินน้ำร้อนใส่แก้ว แล้วก็แกว่ง แกว่ง แกว่ง หนึ่งแก้วเดี่ยวๆ ไม่ต้องพ่วงกาพ่วงแก้ว เหมือนแต่ก่อน แก้วเดียวเดินได้ทั่วบ้าน
กะว่าก่อนกลับบ้านเที่ยวนี้คงต้องแวะไป PYLONES อีกหนึ่งทีเพราะคาดว่าจะเด็ดไปฝากคุณน้องสาวซักสองช้อน เพราะคุณเธอก็หนึ่งในเด็กติดชา...
Sunday, December 28, 2008
ชาดอกไม้ ไม่ได้เอามาทัดหู หรือเหน็บผม...
เด็กชายโข่งนัดเพื่อนกินข้าวกันช่วงวันหยุด เป็นเพื่อนกลุ่มเรียน Pratt ที่ไม่ได้เจอกันนานนนนแสนนานนนนน กริมกับฮุย ฮุยเป็นชาวสิงดโบร์ กริมเป็นสาวไทยน่ารัก นักดีไซด์ นักท่องโลก ล่าสุดเล่าว่าเพิ่งไปโปรตุเกสมา เพราะอยากไปเห็นขนมทองหยิบทองหยอดต้นฉบับดั้งเดิม เหตุผลแค่นั้นกริมก็บินเดี่ยวได้แล้ว....Kudos!!!
นัดเจอกันที่ร้านอาหารฟิลิปปินส์แถวโซโหชื่อ Cendrillon ร้านเล็กๆน่ารัก เรานั่งกันข้างในสุด จัดเป็นส่วนคล้ายๆสวน หลังคาใส เลยมีแสงธรรมชาติส่องลงมา บรรยากาศกำลังสบายๆ ถึงแม้อากาศนอกร้านจะหนาวหูหลุดก็ตาม
แต่สิ่งที่น่าสนใจนอกจากอาหารแล้ว (รสชาติคล้ายอาหารไทย เลยอร่อยๆได้ง่ายๆ) ยังเป็นชาดอกไม้ที่ฮุยสั่งมา จำได้ว่าเคยเห็นชาแบบนี้ใน Globe Trekker ที่โฮตส์หยุดชิมชาที่ไหนซักแห่งแล้วมีชาดอกไม้แบบนี้ด้วย ยังว่าแหมแฟนซีดีจัง อยากลองมั๊ง พอเห็นเค้าเอามาเสริฟให้ฮุยเท่านั้นแหล่ะ.....Can I have one of this, please
แรกเห็นเหมือนก้อนอะไรแห้งๆ กลมๆ ลอยน้ำมาซักก้อนหนึ่ง เป้นหน้าตาอันไม่พึงประสงค์ซักเท่าไหร่จะว่าไป เล่นเอานึกถึงแม่ถ้าเอาไปเสริฟแม่ด้วยก้อนนี้คงได้มีฮา
กันบ้านโยก แต่ก็นั้นแหล่ะอย่างที่แม่ชอบพูด "อย่าเพิ่งติลูกเค้ายังไม่โต"
จากก้อนแห้งๆ เหี่ยวๆ พอได้น้ำร้อนซักพัก เธอก็ค่อยๆเผยอกลีบเล็กออก เป็นที่ถูกใจเรานัก เป็นการดื่มชาที่ละมุนละไม ละม่อม ชวนละเลียด เพราะสวย....นอกจากจะหอมดอกมะลิแล้วยังสวย เพราะเรานึกถึงขั้นตอนในการทำ ในแต่ละดอก เค้าเอาดอกไม้ที่ไว้ชงชา มาเย็บ.....เย็บค่ะเย็บ...เย็บเข้าด้วยกัน แล้วปล่อยให้แห้ง ห่อหุ้ม กอดกันไว้กลมๆ เมื่อบานทุกๆอย่างก้จะค่อยๆบานแล้วก้ลอยขึ้นมาเป็นชั้นๆ ชั้นดอกไม้ตามที่เย็บเอาไว
ดื่มชานี้แล้วรู้สึกสวย เพราะชาแก้วนี้สวย สวยทั้งรูป จิบก็หอม
Thursday, December 25, 2008
เด็กหญิงโข่งกับซานต้าตัวผอมๆ
ตามธรรมเนียมของฝาหรั่งเค้าที่เช้าวันคริสต์มาเป็นเช้าที่เด็กๆจะเด้งจากเตียงโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีการลาก การหิ้ว หรือขุดกันขึ้นมา เหมือนเช้าวันไปโรงเรียนวันอื่น เพราะเช้าวันนี้เป็นเช้าที่ทุกคนจะได้แกะของขวัญ...บ้านเราไม่มีเด็กตัวเล็ก มีแต่เด็กโข่งอยู่กันสองคน เป็นเด็กโข่งที่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับวันคริสต์มาสกับชาวฝาหรั่งเค้า
ตื่นมาเช้าวันนี้เห็นกกล่องของขวัญห่อกระดาษสีแดงตั้งอยู่บนโต๊ะ ก็คิดว่าเป็นกล่องของขวัญที่เด็กชายโข่งเตรียมไว้ให้เพื่อน เด็กหญิงโข่งเลยไม่ค่อยได้สนใจมากมาย ขยี้ขี้ตา แล้วก็เหลือบมองนิดหน่อย กำลังจะถามว่านี่ห่อให้กริมเหรอ ทำไมห่อได้ยู่ยี่ขนาดนี้ เด็กชายโข่งหันมาฉีกยิ้มแล้วก็ว่า "เมอร์รี่คริสต์มาส"....เด็กหญิงโข่งกำลังเมาขี้ตา เลยอือๆออๆจนเด็กชายโข่งต้องเดินมาทิ้มจมูกหนึ่งที ถึงได้รู้ว่าเค้ามีของขวัญมาให้..เท่านั้นแหล่ะตาเด้งใสปิ๊งขึ้มมาโดยทันที สองห้องหัวใจแหกปากกรี๊ด อีกสองห้องหัวใจจ๋อย เพราะเด็กหญิงโข่งไม่มีของขวัญให้เด็กชายโข่งเลย
เด็กชายโข่งแอบสั่งของขวัญมาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว มิน่าเด็กหญิงโข่งถึงไม่รู้ เพราะเด็กโข่งสองคนนี้อยู่ติดกันตลอด ใครจะออกไปไหนซื้ออะไรก็จะรู้กัน แต่นี่เด็กชายโข่งเล่นสั่งให้เค้าเอามาส่งในช่วงเวลาที่เราต่างสั่งของจากทางอินเตอร์เนต เพื่อเอามาทำของขวัญให้เพื่อนๆ ช่วงนั้นจึงมักจะมีของมาส่งเกือบทุกวัน เด็กชายโข่งเค้าก็มักจะสั่งของของเค้ามาตลอด เราก็ไม่ค่อยได้สนใจ
เด็กชายโข่งสั่งกล้องเล็ก Canon PowerShot SD880 IS มาให้หนึ่งตัวแทนตัวเก่าที่ใช้กันมาเกือบ 5 ปีแล้ว หลังๆมาเจ้า PowerShot ตัวเก่าไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ เพราะมันเริ่มแก่ เด็กหญิงโข่งเลยหันไปยึด Pentax DSLR ของเด็กชายโข่งมาเป็นของตัวเอง แต่ก็มีแอบบ่นว่าบางทีขี้เกียจพกกล้องใหญ่ เวลาอยากถ่ายอะไรง่ายๆเร็วๆ ก็แค่บ่นไปอย่างนั้นไม่คิดว่าเด็กชายโข่งจะซื้อให้จริง เพราะจะว่าไปตัวเก่าก็ยังใช้ได้ดี เพียงแค่เก่าแและจุแค่ 3 MP ตัวใหม่นี้เลยได้มาซะ 10 MP....ขี้ตาไม่ล้างหยิบกล้องมาถ่ายรูปเล่นกันแต่เช้า...
ซานต้าของเด็กๆแถวนี้ตัวกลมๆเคราขาวๆ แต่ซานต้าของเด็กหญิงโข่งตัวผอมๆเคราๆบางๆ...น่ารักไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ว่าแล้วเด็กหญิงโข่งจะทำขนมเปียกปูนสีดำตอบแทนซานต้าซะหน่อยแล้ว
Monday, September 29, 2008
หนูมาลี ขี่ม้าลาย
ชีวิตค่อยๆเริ่มเข้าสู่ภาวะปรกติ หลังจากสู้รบปรบมือกับบ้านพังมาทั้งช่วงเวลาหน้าร้อน เล่นเอาแห้งติดบ้าน ไม่ได้ออกไปยักย้ายส่ายตูดที่ไหนเลย วันๆนั้งผูกคิ้ว เมื่อไหร่มันจะเสร็จ เมื่อไหร่มันจะมาทำต่อ.....สุดท้ายจบด้วย....เค้าอยากกลับบ้าน กลับเมืองไทยกันเหอะ เวียนกะบาลกับหมู่บ้านตะวันออกนี่แล้ว และด้วยงานบวกค่าตั๋วแพงจนตับอักเสบ ก็เลยต้องค้างเติ่งต่อไปอีกหน่อย
เมื่อของเริ่มเข้าที่เข้าทาง สมองเราก็เริ่มเดินต่อได้ หยิบสมุด sketch เปิดจักร เย็บไอเดียกันต่อไป เที่ยวนี้ขอสนองความอยากของตัวเองที่อยากได้มาหนีบรักแร้นานแล้ว เป็นกระเป๋าหนีบรักแร้(clutch)ลายม้าลาย มีชื่อแสนสวยว่ามาลี...มาจากแม่ช่อมาลี ดึกดื่นคราวนี้ยังนอนไม่หลับ
ทำด้วยผ้าขนสัตว์(ปลอมค่าาา...อย่าดีดหูหนูนะมันไม่ใช่ของจริง) ทำไปแล้วก็นึกถึง Art Director บัดดี้หนุ่มทั้งแท่งที่เคยทำงานคู่กันมา ผู้หลงไหลลวดลายเสือสางเป็นชีวิตจิตใจ เธอเป็นชายหนุ่มผู้เฉพาะ มีความคิดเฉพาะตัว ดำรงค์ชีวิตเฉพาะทาง ที่ไม่สามารถเดาได้ว่าเธอจะไปทางไหน เมื่อไหร่ แต่ถ้าได้ไปกับเธอ เมื่อไหร่ เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตไม่เคยขาดเสียงหัวเราะ วันดีคืนดีเธอก็นุ่ง kilt ไปทำงาน เล่นเอาคุณพี่ Creative Director ตาค้าง...."เฮ้ย! วันนี้มีพรีเซ้นงานลูกค้านะแล้วเอ็งก็ต้องเข้าด้วย"
พ่อเจ้าประคุณของเรายิ้มตอบอย่างไร้เดียงสา "ครับพี่...ผมถึงใส่ kilt มานี่ไงเพราะรู้ว่าต้องให้เกียรติที่ประชุม" ถึงเวลาเข้าประชุมเรายิ้มร่าควงแขน พ่อเจ้าประคุณของเราเข้าไปพรีเซ้นงานอย่างเป็นปลื้ม....คนทำงานครีเอทีฟ มันควรมีพลังครีเอทีฟ ที่สามารถจับต้องได้ แสดงออก โดยที่ไม่ต้องพยายามอย่างมากมาย....เมื่อเราไม่พยายามแสดงหรือสร้าง ในที่สุดความเป็นตัวเรามันจะออกมาเอง เหมือนที่พ่อเจ้าประคุณของเราเป็น
ทำงานกินหัวกินหางกันมาตั้งนานมิยักกะรู้ว่าพ่อ art director ของเราลุ่มหลงในลวดลายของสิงสาราสัตว์เป็นอย่างมาก มารู้เอาก้วันหนึ่งที่เราใส่เสื้อผ้าเบาพริ้วลายเสือดาวไปทำงาน ทั้นทีที่เปิดประตูเข้าห้อง พ่อเจ้าประคุณของเราก็ทำท่าอ่อนระโหยโรยรา พูดได้คำเดียว...."โอยตาย ตาย อย่างนี้ตายกันไปเลยดีกว่า เจ๊ฆ่าผมเลยดีกว่า" เล่นเอาเรากุลีกุจอ..."เป็นอะไร๊จ๊ะพ่อคุณ...กินโจ๊กขาดเกลือไปเหรอ หรือยังไง หรือว่างานโดนเด้งกลับมาแก้อีก รีชู้ดอีกมั๊ย ชั้นไม่ไปนั่งคุมแล้วนะ เที่ยวนี้ตาแกแหล่ะ" พ่อเจ้าประคุณเงยหน้าเด้ียงๆ เสียงแมวๆกลับมา
"เจ๊รู้มั๊ยผมแพ้ผู้หญิงใส่ลายเสือ เห็นแล้วเข่าอ่อน ใจเปลี้ย....เจ๊แต่งงานกับผมเหอะ วันนี้เลยนะ แล้วผมจะไม่ให้เจ๊ไปคุมถ่ายอีกต่อไปเลยทั้งชีวิต"
นี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน เราฟันใบตองตึงดังฉับเลยว่ามันเป็นเกย์แน่นอน ผู้ชายอะมีบ้าอะไรชอบเสื้อผ้าลายเสือ ผ้าขนสัตว์ อะไรที่คุณเจ๊ปอนด์ เพื่อนรุ่นพี่แอบสาวแห่ง Bobby Brown ชอบ พ่อเจ้าประคุณเราก็ชอบเช่นกัน บอกแล้วว่าเธอคือผู้ชายเฉพาะ เล่นเอาไม่กล้าใส่เสื้อตัวนั้นไปพักหนึ่งเพราะกล้วพ่อคุณจะปล้ำเอา เวลาบอกให้แก้งาน สุดท้ายเราก็เกี่ยวก้อยสัญญากัน ว่าแกจะไม่ปล้ำชั้นนะถ้าชั้นจะใส่ลายเสืออีก แล้วชั้นจะซื้อหมอนลายเสือ ผ้าปูที่นอนลายเสือให้หนึ่งชุด จะได้เข้ากับฝาชักโครกขนสัตว์ลายเสือเบงกอลที่ห้องพ่อคุณ
วันนี้ถ้าเรายังทำงานด้วยกันอยู่ เราคงต้องเอาหนูมาลี ขี่ม้าลายใบนี้ไปอวดพ่อเจ้าประคุณสุดที่รักเราอีกเป็นแน่...
"นี่แกนอกจากชั้นมีเสื้อลายเสือดาวแล้ว ชั้นยังมีกระเป๋าหนีบรักแร้ลายม้าลายด้วยนะ"
ถ้าจะปล้ำชั้นอีกมีดีดด้วยขาหลังนะงานนี้
Sunday, September 7, 2008
สบู่ข้างหน้าต่าง
เคยเขียนเรื่องสบู่ทำมือไว้เมื่อ เดือนสองเดือนก่อน ตอนนั้นยังทำสบู่ไม่เป็น และก็เป็นกรรม เมื่อเราชอบใช้ของเค้า แต่เราทำเองไม่ได้ เราก็ต้องเสียตังค์ซื้อของเค้ามาใช้ เสียตังค์ให้ชาวบ้านไปเยอะพอดู ซื้อของเค้าใช้มาจนขนหน้าแข้งสามีร่วงหมดแล้ว...
อ่าฮ่ะ...อย่ากระนั้นเลยอ้อนท่านสามีเสียตังค์ซื้อวัตถุดิบมาทำใช้เองซะ เมื่อคืนลองคิดๆดูว่าตกก้อนละเท่าไหร่ นั่งนับนิ้วมืิอ นิ้วเท้าแล้ว คุ้ม! เพราะได้ใช้สุดยอดสบู่ที่เค้าขายกันแพงๆ แต่เราไม่ต้องเสียตังค์ให้เค้าอีกแล้ว แถมอยากได้ก้อนใหญ่เท่าอิฐมอญ อิฐบล๊อก ก็ตัดเอาเอง เลยแปะมือกันสองคน ตัดสินใจจะไม่มีการซื้อสบู่ใช้กันอีกแล้ว ถ้าไม่แจกชาวบ้านซะหมด แบชหนึ่งก็ใช้กันได้จนตัวเปื่อย
ว่าแล้วก็ร่ายมนต์ ศึกษาตำราอยู่หน้าอินเตอร์เนต หาอ่านไปเรื่อย นอกจากเวปฝรั่งแล้ว ก็ไปเจอเข้ากับสังคมสบู่แถวบ้านเราชื่อ Thai Bubbles เป็นเวปน่ารักในสังคมเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พูดภาษาเดียวกัน เลยขอเข้าไปนั่งตาแป๋วดูเค้าทำสบู่ด้วยคน มีเคล็ดลับ มีสูตร มีวิธีทำ ใส่ไว้ให้อ่าน ให้ศึกษา มีอะไรที่สมองไม่ทำงานโพสถามเค้าไว้ ก็จะมีสาวงามๆ ตัวหอมๆ ผิวเนียนๆมาช่วยกันตอบช่วยกันไขข้อข้องใจ
ประชาชนแถวนั้นเค้าเซียนสร้างสบู่กันทั้งนั้น ทั้งทำสบู่ ครีมทาผิว ของบำรุงผิวต่างๆ
เราเห็นแล้วได้แต่อึ้ง หน้าต่่างบานใหม่เปิดอีกแล้ว เพราะไม่เคยได้คิดว่าชาวบ้านแบบเรา จะสามารถทำของพวกนี้ใช้ได้เองด้วยมือของเราเอง ในครัวเราเอง ตั้งแต่เกิดจนโตมา รู้อย่างเดียวว่าถ้าจะใช้สบู่นกแก้ว ก็ต้องวิ่งไปซื้อร้านป้าขายของชำข้างบ้าน จนโตมาทำงาน ก็เชื่ออีกว่าสินค้าที่เป็น consumer products นี่ต้องชื้อใช้กันอย่างเดียวเท่านั้น ทำเองไม่ได้หรอก รู้สึกว่ามันเป็นของที่ต้องปรุงออกมาจากโรงงาน เค้าจะพัฒนา จะปรับปรุง ให้คุณภาพเร่ิดเลอแค่ไหน มันก็ต้อง....เค้า.....ที่เป็นคนทำให้เราใช้ หน้าที่เราคือซื้อเค้ามาใช้เท่านั้นเอง ขนาดพี่เราเองเป็นถึงผู้จัดการ lab ผสมเคมี ควบคุมการทำสินค้าพวกนี้ขายของบริษัทยักษ์ ก็ยังไม่เคยเอ่ยว่าเราทำของพวกนี้ใช้เองกันเถอะ เพราะเราชินกับนิสัยของการซื้้อมาบริโภค เลยมองข้ามความเป็นไปได้
ตัวเราเองกับ 8 ปีที่เคยเป็นคนทำโฆษณาให้สินค้า consumer products ต่างๆ ทั้งของยักษ์ใหญ่ ยักษ์เล็ก เราก็รู้สึกเหมือนกันว่าบางครั้ง เราพูดเกินจริงให้กับสินค้าเค้า บางที่เล่นเอากระดาก แต่ก็นะ....มันคืองาน เรามีหน้าที่ผลิตความคิด ขายลูกค้าเรา เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ถึงวันนี้ก็สารภาพว่าสินค้าบางตัวที่เรา ทำโฆษณาให้เราไม่ซื้อใช้เลย เพราะระยะเวลาที่ต้องขลุกอยู่กับสินค้า ในช่วงของการทำงาน มันนานพอที่จะทำให้รู้คุณสมบัติลึกตื้นหนาบางของสินค้า และก็มีสินค้าอีกหลายตัวที่เราเลือกซื้อใช้แล้วก็ไม่เปลี่ยนเลยเพราะรู้ว่าดีจริง
ใครจะว่าถ้าเราจะทำให้ใครเชื่อในของที่เราจะขาย เราต้องเชื่อในของนั้นๆก่อน.....ฮึ่ม!.....เอาเป็นว่าเราสามารถควบคุมความรู้สึกของเราให้แยกความเป็นจริง กับความสร้างเสริมออกได้ก็แล้วกัน ไม่งั้นคงช่วยลูกค้าเราขายของเค้าไม่ได้
น่าน.....ไม่วายวกเข้าเรื่องอดีตจนได้ แต่ก็เพราะเป็นงานที่เรารักงานหนึ่งเลย
เป็นงานที่ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ถึงมากที่สุด ช่วงทำงานโฆษณาเป็นช่วงที่ใช้ชีวิตคุ้มค่าที่สุด มันที่สุด โหดที่สุด สมองโตสุดๆ ถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยคิดเสียดาย กลับรู้สึกดีที่ชีวิตต้องผจญวนเวียนอยู่ในงานสาขานี้ ที่ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย แต่คุ่มค่าที่ได้ทำ
หลังจากใช้ชีวิตหนักๆทำงานให้คนอื่นมาพักใหญ่ ก็คิดว่าความรู้จากการเรียนเกือบทั้งหมด ได้เอาออกไปใช้เป็นชีวิตทำงานที่คุ้มแล้ว แถมเป็นช่วงที่ทำยังได้ความรู้ใส่สมองเพิ่ม โดยไม่ต้องเสียตังค์เป็นเทอมๆอีก ถึอซะว่าเป็นกำไรเกิน 100 เปอร์เซ็นซะอีก ก็เลยคิดว่าน่าจะได้ใช้เวลาที่เหลือทำอย่างอื่นบ้าง ชีวิตวันนี้เลยเป็นชีวิตของตัวเอง ทำงานให้ตัวเอง สร้างสรรค์ให้ตัวเอง ให้แค่กลุ่มคนเล็กๆ เพราะรู้สึกว่าเวลาทำอะไรแค่เล็กๆ คุณภาพที่ออกมามันสุดยอดกว่าการทำอะไรเยอะๆใหญ่ๆ
สุดท้ายเลยหันหลังกลับแล้วก็ใช้ชีวิตแบบง่ายๆทำทุกอย่างด้วยมือ และสมองของเราเอง ทีทำให้ชาวบ้านเรายังทำให้ได้อย่างดี แล้วทำไมถ้าจะทำให้ตัวเองให้เริ่ดเลอเท่าไหร่จะทำไม่ได้ มันคือความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก เสื้อผ้าจากเคยซื้อก็เริ่มออกแบบเอง ตัดใส่เอง อาหารก็เริ่มทำกินเอง มาวันนี้ได้ทำสบู่ใช้เองอีกหนึ่งอย่าง และยังมีอีกหลายอย่างที่เราว่าเรายังสามารถทำใช้ได้ด้วยตัวเอง
Keep expanding your own horizon is a good thing.
Monday, August 18, 2008
มงกุฎเจ้าสาว
ไหนๆก็ลงเรื่องการทำผมงามๆไปครั้งที่แล้ว ก็ต่อเลยแล้วกันเพราะบังเอิญไปพบเข้ากับ whichgoose เห็นแล้วมันอดใจไม่ไหวต้องเก็บมาฝาก สองวันก่อนรับโทรศัพท์ทางไกลจากคุณน้องเพื่อนสนิท กรี๊ดกร๊าดกันมาตามสาย "เจ๊...มีผู้ชายมาขอขั้นแล้วนะ" เล่นเอาดีใจด้วยเกือบตกเก้าอี้ สุดท้ายน้องหอยน้อยของชั้นก็มีเจ้าเข้าเจ้าของเป็นตัวเป็นตนเสียที หลังจากโหนคาคบไม้ กิ่งโน้นที กิ่งนี้ที มาเป็นเวลาให้คุณหญิงแม่ต้องปวดขมับว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณลูกสาวโดดๆคนนี้ ทำไม่มันไม่ลงร่องซะที...ลงแล้วคะ...คุณน้องหอยยอมจำนนแล้วคราวนี้
ในที่สุดคุณพี่ก็ได้ถอนหายใจค่อยๆคลายลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ รวมถึงไส้ตึ่ง ม้าม ตับ ถุงน้ำดี ท่ีมันมัดกันกลมเพราะการลุ้นไปกับชีวิตครึ่งฝาของคุณน้อง หลังจากนั้นอาการเป็นจิตก็กำเริบ ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวดีเรื่องการเข้าหอลงเรือนจากเพื่อนสนิทมิตรสหาย ยายป้าคนนี้เป็นต้องคิดตามเรื่องความสวยความงาม จนบางครั้งเหมือนกับตัวเองจะไปยืน "I Do" กับเค้าด้วย แหมมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ งานแต่งงานมันสวย ชอบมากเวลาเห็นงานคนอื่นวิริศสมาหรา แต่พองานตัวเองชอบเป็นแบบครื้นเครง วุ่นวายแค่หนึ่งระดับจากสิบ เพราะถ้าวุ่นวายมากเจ้าสาวอย่างเราจะไม่สวยทันที
ว่าแล้วก็ว่าจะส่งมงกุฎเจ้าสาวไปให้คุณน้องดูซะหน่อยว่าสนใจมั๊ย เพราะคุณน้องเองก็บอกว่าจะจัดงานแบบไม่พิธีมากมาย เธออยากเป็นเจ้าสาวฮิบๆ คุณพี่ก็แปลได้ว่า...เพิ้งๆ...มันช่างตรงกับแนวทางการใช้ชีวิตของคุณพี่มาก พอดีไปเห็นมงกุฎเจ้าสาวจาก whichgoose เข้าก็เลยรีบเก็บมา เพราะว่าตัวคุณพี่เห็นแล้วอยากซื้อมาใส่มันทุกอันเลย เปลี่ยนไปทุกๆครึ่งชั่วโมง
เพราะจะให้ทำใจใส่แค่อันเดียวทั้งงานมันก็รู้สึกไม่ถูกต้อง แต่ดันมีหัวอยู่หัวเดียว ในขณะที่มงกุฎสวยมีตั้งหลายอัน
เมื่อคราวคุณพี่แต่ง ซูซานให้ยืมมงกุฎเจ้าสาวมาใส่ตามกฎ something borrow ของซูซานเป็นมงกุฎไข่มุกพันๆกันเป็นที่คาดผม ก็ดูงามมีชนชั้นอยู่ แต่มาเห็นมงกุฎของ whichgoose แล้วก็อยากจะขอแต่งอีกซักหน เพราะมองแล้วเห็นภาพว่าคุณพี่จะงามจัดถ้าใส่มงกุฎประเภทนี้
หรือคุณน้องว่าไง
เก๋กู๊ดดดจริงๆคะคุณกูซซซ
Wednesday, August 13, 2008
Bad Hair Days, Good Her' Do
ภาพผ่าน
เห็นไอเดียการกวาดเก็บความยุ่งเหยิงของผมยุ่งๆ จากแม่สาวฝึกงานชื่อ Ellen ในแผนกแฟชั่นของหนังสือ Glamour แล้วชอบใจ เอเลนบอกว่านี่คือทรงผมช่วยชีวิตในวันที่เธอไม่มีเวลาทำสวยกับผมหยิกๆยุ่งๆ แต่ยังไงชีวิตก็ยังต้องเช้งวับ จึงจัดเจงแบ่งผมแล้วก็ถักเปียเป็นจุดๆจากนั้นก็สานกันไปสานกันมา ออกมาเป็นไตล์สาวกรีกโบราณ
แล้วก็ใช้กิ๊บเล็กๆหนีบเก็บเข้าไป แต่แทนที่จะติดใบโอลีฟก็เปลี่ยนมาตกแต่งง่ายๆด้วยดอกไม้พลาสติกหนีบผมราคากิ๊กก๊อก แต่ขอโทษนะยะ...งามเริ่ดกว่ายี่ห้อเทวดานางฟ้าเค้าใช้ๆกันซะอีก....
ป้าเห็นแล้วชอบจริงๆเลยหนู รสหวานทานง่ายจริงๆไอเดียนี้ ถ้าป้าทำงานที่เดียวกับหนูนะป้าจะโถมตัวเองเข้ากอดจากระยะสิบไมล์เลยจริงๆ โทษฐานมีความสามารถสวยด้วยสมองและสองมือของตัวเอง...
Ellen ว่าทำเสร็จภายในสิบนาทีแบบไม่ต้องดูกระจก
ป้าเดินวนคำนวนดูแล้ว ถ้าป้าทำคงได้ตระคริวจับตั้งแต่เริ่มเปียแรก
นอกจากเก๋ระหว่างวันแล้ว ป้าว่ายังสวยระหว่างคืนได้ด้วยนะ ไปงานแต่ง งานบวช งานทำบุญช้าง เลี้ยงโต๊ะจีนลิง ก็เหมาะทุกอย่าง....ผมป้าตอนนี้ตรงเป็นไม้กวาดพื้น เริ่มคันหัวอยากไปทำหยิกเข้าบ้างเหมือนกัน มันไม่ยุ่งก็จะทำให้ยุ่งซะ ว่าแต่กิ๊บหนีบผมลีลาวดี ศรีสง่า แบบนั้นเห็นทีป้าจะต้องแจ้นไป H&M แล้วเด็ดมาครองซักช่อบ้างแล้ว ชอบเหลือเกินมีดอกไม้อยู่บนหัว จะบานเล็กจะบานใหญ่เท่าหน้ายังไงป้าก็ติดหมด....
ยังไงซะมีดอกไม้อยู่บนหัวก็ย่อมงามกว่ามีเหาขึ้นไปเล่นลิงชิงหลักอยู่บนหนังหัวแน่นอน
Saturday, August 2, 2008
แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรจะใส่
หลายครั้งที่ยืน นอน กลิ้ง อยู่หน้าตู้เสื้อผ้า....แล้วทำหน้าหงิกว่า "ไม่มีอะไรจะใส่" ทั้งที่เสื้อผ้าทั้งแขวนทั้งพับอยู่เต็มตู้ เรื่องของเรื่องคืออาการหมดหนทางการแต่งตัว จะใส่ชุดเดิมแบบเดิมก็แหงะ เบื่อ...จะแจ้นออกไปเด็ดชุดใหม่กันบ่อยๆก็ขนหน้าแข้งไม่ดก สุดท้ายก็จับอันโน้นมาปะอันนี้ จำได้ว่าเคยเอากระโปรงยาวสีขาวยางยืดคร่อมตาตุ่ม มาใส่เป็นเดรสรัดหน้าอกตัวยาวออกไปตะแรตแต๊ตชึ่งสมัยสาวๆ คนมองกันเกรียว...แต่สมัยนั้นใช่ว่าเกรียวแบบชื่นชม แต่เป็นการเกรียวแบบว่า..."ยายนี้มันเพี้ยน"
มายุคนี้เค้าฮิตเดรสสั้นก็ยังมี Queen Michelle อีกคนที่ดัดแปลงเอากระโปรงมาใส่เป็นเดรสอย่างที่เราเคยใส่เหมือนกัน ต่างกันแค่ความยาวเท่านั้น แถมมองยังไงก็ห่างจากคำว่าเพี้ยนเป็นกิโลแม้ว....แต่กลายเปรี้ยวได้รอบเมืองในยุคตังค์น้อยแบบนี้
ถ้ามีกระโปรงอารมณ์เดียวอย่างที่ Queen เค้าใส่ก็ลุยได้เลย วันไหนอารมณ์อยากเป็นสาวน้อยร้อยชั่งแบบมองแปล๊บเดียวว่าหวาน มองนานๆว่าเปรี้ยวก็ใส่เป็นกระโปรงธรรมดากับเสื้อแคชเมียแขนสั้นเข้ารูป แกว่งกระเป๋าโปราณทรงกล่อง ปั่นจักรยานรอบเมืองให้กระโปรงปลิว ก็จะเก๋ใช่น้อย
ตกกลางคืนเปลี่ยนหัวเปลี่ยนใส้ แต่กระโปรงไม่ต้องเปลี่ยน ดึงจากเอวขึ้นมาให้พ้นอกแล้วก็ปล่อยเอาไว้ตรงนัิ้น เพิ่มเครื่องทรงเข้าอีกเล็กน้อย เดินสลับขา ไขว้ตาตุ่มตามบีทได้เลย
เช้ามาหาเสื้อ crop สั้นๆมาใส่ทับอย่าง Queen Michelle ก็อู้ยยย....เก๋และฉลาด ว่าแล้วก็ได้เวลารื้อตู้เสื้อผ้า หาเรื่องเลาะตะเข็บ ตัดแขน ตัดขา กันอีกแล้ว
มายุคนี้เค้าฮิตเดรสสั้นก็ยังมี Queen Michelle อีกคนที่ดัดแปลงเอากระโปรงมาใส่เป็นเดรสอย่างที่เราเคยใส่เหมือนกัน ต่างกันแค่ความยาวเท่านั้น แถมมองยังไงก็ห่างจากคำว่าเพี้ยนเป็นกิโลแม้ว....แต่กลายเปรี้ยวได้รอบเมืองในยุคตังค์น้อยแบบนี้
ถ้ามีกระโปรงอารมณ์เดียวอย่างที่ Queen เค้าใส่ก็ลุยได้เลย วันไหนอารมณ์อยากเป็นสาวน้อยร้อยชั่งแบบมองแปล๊บเดียวว่าหวาน มองนานๆว่าเปรี้ยวก็ใส่เป็นกระโปรงธรรมดากับเสื้อแคชเมียแขนสั้นเข้ารูป แกว่งกระเป๋าโปราณทรงกล่อง ปั่นจักรยานรอบเมืองให้กระโปรงปลิว ก็จะเก๋ใช่น้อย
ตกกลางคืนเปลี่ยนหัวเปลี่ยนใส้ แต่กระโปรงไม่ต้องเปลี่ยน ดึงจากเอวขึ้นมาให้พ้นอกแล้วก็ปล่อยเอาไว้ตรงนัิ้น เพิ่มเครื่องทรงเข้าอีกเล็กน้อย เดินสลับขา ไขว้ตาตุ่มตามบีทได้เลย
เช้ามาหาเสื้อ crop สั้นๆมาใส่ทับอย่าง Queen Michelle ก็อู้ยยย....เก๋และฉลาด ว่าแล้วก็ได้เวลารื้อตู้เสื้อผ้า หาเรื่องเลาะตะเข็บ ตัดแขน ตัดขา กันอีกแล้ว
Thursday, July 31, 2008
กิ๊กใหม่....เพื่อนเก่า
polariod land camera one step
นี่แหละกิ๊กใหม่ ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเดินเตาะแตะ
ที่ว่าเป็นกิ๊กใหม่ก็เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเพิ่งจะสั่งโพลาลอยด์มานั่งนิ่่งๆไว้อีกหนึ่งอัน แต่อันนี้เดินไปป๊ะเอาที่ A Touch of Vintage เห็นน่าตาเก๋ดี คนขายเค้าก็ยังไม่แน่ใจว่าใช้ได้อยู่หรือเปล่า แต่ยืนยันว่าเอามาตั้งนิ่งๆแต่งบ้านได้แน่นอนไม่โม้....โอเชงั้น
Thursday, July 24, 2008
ไปทะเลแอตแลนติก
หยุดพักร้อนดูโน้นดูนี่นิด เพราะร่างกายขาดเกลือ คิดถึงน้ำทะเลเมืองไทยสุดๆ สองอาทิตย์ก่อนซูซานโทรมาหาชวนไปนั่งเล่นริมทะเล รีบพยักหน้าหงึกๆ ตั้งแต่อยู่นิวยอร์คมายังไม่เคยไปเหยียบ Long Beach เลย ซูซานกับร๊อบขับรถมารับพานีน่าตัวน้อยมาด้วย ขับรถออกจากแมนฮัตตั้นไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ไปหยุดกันที่บ้านเทียรี่ บ้านเค้าอยู่ห่างจากทะเลแค่สองบล๊อค ไปถึงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำ แต่งานนี้เราขอผ่านเพราะรู้แล้วว่าจะไม่ลงทะเล น้ำยังเย็นเจี๊ยบอยู่เลย แถมสาหร่ายทะเลก็ยังเพียบแค่ไปนั่งเล่นเป็นพอ
ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ไปเที่ยวทะเลครั้งแรกในอเมริกาคือที่ Cape May ในนิวเจอร์ซี่ เป็นเมืองตากอากาศเล็กๆ บรรยากาศของเมืองน่ารัก บ้านในเมืองเป็นไตล์บ้านขนมปังขิงทั้งเมือง ไปถึงต้องงงเต็กกับวิธีการเที่ยวทะเลของคนแถวนี้ เค้าต้องหอบเข้าของกันพรุงพะรัง ทั้งเก้าอี้ชายหาด ร่มชายหาด ถังน้ำแข็งถังเท่าตู้เย็นลากกันไป เราไม่หอบอะไรเลยมีแค่ผ้าไว้ปูนั่งเท่านั้น พอเดินถึงชายทะเลถึงได้รู้ว่าทำไมเค้าต้องหอบกันพรุงพะรัง
เพราะชายหาดก็คือชาดหาดล้วนๆ มีแค่ทรายกับน้ำทะเล ไม่มีต้นไม้ซักต้นเดียว แถบชายหาดกว้างอย่างกับลานเครื่องบิน เค้าถึงต้องขนทุกอย่างลงไปเพื่อการใช้ชีวิตอยู่บนหาดทั้งวัน อยู่แล้วอยู่เลยลงมาชายหาดตอนเช้ากลับขึ้นไปอีกทีก็ตอนเย็น ไม่มีร้านอาหารให้วิ่งขึ้นมาซื้อของกินได้ ไม่มีร่มให้หลบแดด ทุกอย่างต้องเอาลงไป ก่อนเข้าหาดก็ต้องเสียตังค์ $8 ก่อน ถึงจะลงไปนอนผึ่งพุงได้ เรากระเหรี่ยงสองตัวถึงเดี้ยงเพราะไม่มีอะไรเลย ต้องวิ่งไปเช่าร่มชายหาดมากางไม่งั้นได้กลายเป็นแย้แดดแรงแห้งคลุกทรายอยู่ตรงนั้น เสียตังค์อีก $8 ค่าร่ม...โอย สุดท้ายได้แต่นั่งมองชาวบ้านเพราะเราไม่มีอะไรกินกันมีแค่น้ำที่บังเอิญติดตัวตลอด พอหิวแค่หันกลับมาดูเห็นร้านอาหารอยู่ลิบๆ ต้องเดินฝ่าแดดทะเลทรายออกไปอีก เลยตัดใจ แต่ไหนๆก็มาแล้วเอาตัวลงไปจุ่มน้ำทะเลซักหน่อย เล่นเอาร้องเจี๊ยก แดดเปรี้ยงแต่น้ำทะเลเย็นเจี๊ยบ เล่นเอามนุษย์เมืองร้อนอย่างเราสมองเสื่อมเพราะร่างกายสับสน สุดท้ายเราเที่ยวอยู่เมืองนี้กันสี่วันแต่ใช้เวลาอยู่ริมหาดทั้งหมดทั้งสิ้น สองชั่วโมง เวลาที่เหลือปั่นจักรยานดูเมือง ดูประภาคาร เฉี่ยดไปหาดใกล้ๆ แต่ไม่ลงไปนอนผึ่งพุงแล้ว
เที่ยวนี้รู้งาน ไปถึงบ้านเทียรี่ก็จัดแจงหอบของกัน ทั้งเก้าอี้ชายหาดครบคน ร่มชายหาดสองคัน ผ้าปูนั่งอีกหนึ่งผืน แล้วก็กระติกใส่ของกินทุกอย่างลงไป เดินหอบกันไปสองบล๊อกถนนก็ถึงหาด เทียรี่มีบัตรเข้าหาดให้ทุกคนก็เลยไม่ต้องจ่ายตังค์
น้ำก็ยังเย็นอยู่เหมือนเดิม ฟ้าก็ยังครึ้มอยู่ สรุปไม่มีใครได้ลงไปแช่น้ำซักคน ได้แค่เดินเอาเท้าไปแตะ...I'll pass this time. Me Too!
ไว้รอไปนั้งดูดน้ำมะพร้าวริมทะเลอ่าวไทย, กินยำปลาหมึกริมหาดอันดามัน บ้านเราดีสุดๆ
Thursday, July 17, 2008
สุภาพบุรุษเสื้อยืด
ภาพผ่าน
อีกหนึ่งไอเดียจาก Spoon Sisters หลังจากแก้วเพิ่มหนวด (Pick Your Nose Party Cups)ของเค้า
ได้รับรางวัลรางวัลด้านดีไซด์ไปเรียบร้อย มาวันนี้ ผ้ากันเปื้อนเนคไท ผืนนี้ช่วยให้คุณสุภาพบุรุษเสื้อยืดทั้งหลาย ได้นั่งยืดอกกินเข้ากับสาวๆ ได้อย่างสมฐานะ ถ้าสุภาพบุรุษเสื้อยืดคนไหนนั่งกินเข้ากับเราแล้วห้อยผ้ากันเปื้อนอันนี้นะ จะส่งตาหวานให้เบาหวานกินเลย
Thursday, July 3, 2008
Yoshitomo Nara น่ารักที่แอบไว้ที่หน้าร้าย
พยายามนั่งนึกว่าเราเคยคลั่งอะไรที่ถือได้ว่าเห็นเป็นไม่ได้เห็นแล้วต้องชัก เพราะชอบมาก เพราะบางครั้งอยากรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่กับเค้าบ้าง หลายครั้งที่เห็นเพื่อนๆเค้ามี "ของโปรด"
จากที่โน้น ที่นี่ ดูแล้วรู้สึกว่าเท่ดีจัง แล้วก็รู้สึกชมชอบกับเพื่อนที่อุทิศตัว อุทิศใจให้กับ "ของโปรด" เค้า เพราะเค้าจะทำ จะใช้ จะแสดงออกให้เห็นว่าข้าชอบแแบบนี้ และข้าชอบแบบแข็งแรง ทั้งกอด ทั้งกิน ทั้งเอามาทาตัว และหลับนอน
จำได้ว่าเราแทบจะไม่มี ไม่ค่อยเคยโปรดอะไรที่ต้องตามเก็บ ตามกรี๊ด อย่างชอบดูการ์ตูนโดเรม่อน แต่ไม่เคยตามเก็บตัวตุ๊กตา ชอบการ์ตูนนักกี้จอมใจจอมแก่น แต่อ่านเสร็จก็ทิ้ง วันไหนนั่งหน้าหงิก หัวยุ่ง เพราะผู้ใหญ่ไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน ก็จะระบายออกด้วยการนั่งวาดรูปนักกี้ตาหวานในเวอร์ชั่น อีเปรี้ยวตลาดแตก แปะซะจนเต็มฝาบ้าน ก็แค่นั้น หรือนั่งตาห้อยดูหนังอีที แล้วรู้สึกรักมาก แต่เท่าที่จำได้ก็มีแค่พวงจุญแจอีทีนิ้วแดงที่เค้าแจกหน้าโรงหนังมาห้อยกระเป๋านักเรียน ห้อยได้สองวันก็หาย อาจเพราะเราเบื่อเร็ว เคยอยากเป็นคนทันสมัยกับเค้า แต่ทำได้ไม่นานก็รำคาญตัวเอง จนบางครั้งรู้สึกว่าเรานี้ไม่มีอะไรไปคุยกับเพื่อนเค้าได้บางเลย เพราะเรา "ไม่รู้สึกฮิต" เลยได้แต่ดู และฟังแต่ก็ใช่ว่าชีวิตนี้มันช่างแห้ง มันจะไม่มีอะไรที่โปรดเลยเหรอ มีแน่นอนแต่ส่วนใหญ่ของเหล่านั้นเป็นของที่เราแอบมองมานาน ไม่ใช่เห็นปุ๊ปชักทันที ของพวกนี้เราจะชอบไปนานและนานนน
อย่างงานของ Yoshitomo Nara เห็นงานของเค้าครั้งแรกเมื่อหก เจ็ด ปีก่อน อันนี้เป็นการเห็นแล้วปลื้ม ที่ชอบก็คือ character ของเด็กผู้หญิงที่เค้าเพนท์
ง่ายๆคือหลงรัก character น่ารักร้ายของเด็กคนนี้ ตอนนั้นยังไม่รู้จักตัวตนศิลปิน ไม่รู้ด้วยว่าเป็น Character จากการ์ตูนเรื่องไหนหรือเปล่า เค้าฮิตกันหรือเปล่า รู้แค่ว่าเห็นแล้วถูกตา
ก็ได้แค่คิดว่าอีกหนึ่งในคนเขียนการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมด เต็มจนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่ค่อยสนใจตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา Character ต่างๆของญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก แต่ในเคสของเด็กคนนี้มันเป็นแบบอารมณ์..."แอบจ๊ะเอ๋"...เดินๆอยู่ก็เห็นภาพเขียนเด็กคนนี้แปะอยู่หน้าร้านเสื้อผ้า หรือนั่งกินน้ำอยู่เหลือบไปเห็นถ้วยกาแฟเด็กหน้ากรดคนนี้อีกแล้ว อารณ์มันก็เลย...นี่หนูจะตามป้าไปถึงไหนยะ บ้านป้าไม่มีที่ให้วิ่งเล่นหรอกนะ...เหมือนวิญญานเด็กตามหลอกหลอน จนเรายอมแพ้ แล้วก็มานั่งสะกิดสะเกาพี่กูเกินถามว่าศิลปินที่เกิดหนูคนนี้ขึ้นมาคือใคร
นั่งจุ๊กจิ๊กหนุ๊งหนิ๊งกับพี่กูเกินจนพอใจ ได้เห็นหน้าเห็นตาศิลปินแล้วก็ค่อยยังชั่ว อย่างน้อยลูกเค้าก็มีพ่อ(แม่ไม่แน่ใจ)ที่ทำให้เกิดมา
ยิ่งหางานเค้าดู ก็ยิ่งชอบ เพราะงานเค้าง่ายจนหลายคนๆอ้าปากว่างานอย่างนี้ข้าก็เขียนเป็น อ่านความเห็นคนที่พูดอย่างนี้แล้วอยากจะบูชาท่านด้วยกระบองเพชรแช่น้ำปลาจริงๆ อยากจะร้องลิเกเอ่ยความนัยให้ท่านเทวดาทั้งหลายรับรู้ว่า ทุกอย่างที่มันง่ายเวลาดู มันยากเวลาคิดทั้งนั้น
ตอนนี้ Yoshitomo Nara เลยเป็นศิลปินญี่ปุ่นอีกคนที่ทำงานในสไตล์การ์ตูน(สไตล์ที่เราไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่) ที่เราชอบดูงานเค้า นอกนั้นยังนึกไม่ออกว่ามีใครที่ชอบอีก และเป็นการชอบแบบแทรกซึม การชอบแบบนี้จะไม่ทำให้เกิดอาการชักเวลาเห็น แต่เมื่อไหร่ที่เห็นแล้วหัวใจเบิกบาน แล้วการชอบแบบนี้สำหรับเราจะเป็นการชอบไปอีกนาน...วันหนึ่งพ่อเทพบุตรข้างตัวเอ่ยขึ้นมาว่า เค้ารู้แล้วทำไมเราถึงชอบ character ของเด็กคนนี้....เพราะเรามี character เหมือนเด็กคนนี้ ไม่เชื่อลองกลับไปดูรูปตอนเด็กซิ...ไม่เชื่อ!
Wednesday, July 2, 2008
โอ๊ะโอย...ใครรังแกโอลิมปิค
วิ่งโฉบแปล้บเข้าไปใน I believe in Ad ได้เรื่องดีเอาออกมาเคีี้ยวจนได้ เที่ยวนี้พี่ TBWA/FRANCE เค้าเล่นแรงจริงๆ เป็นแคมเปญโปรโมท Human Right ของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนชื่อ Amnesty International เป็น Olympic Campaign ในที่สุดการเมืองก็ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวเข้าไปพันกับกีฬาจนได้...
ข้อความคือ
AFTER THE OLYMPIC GAME, THE FIGHT FOR HUMAN RIGHTS MUST GO ON.
ในฐานะคนเคยทำ ad เห็น ad นี้แล้วอกหักบอกไม่ถูก...มันอึ้ง ซึ้ง นึ่งเหนียว มันมีทั้งความจริง ความไม่จริง ความไม่จำเป็น และความจำเป็น ของทั้งคนทำ ad และเจ้าของผู้สั่งทำ(ขอใบบัวบกไร่หนึ่งจะเคี้ยวให้หมดไร่...เจ็บอก)
สุดท้ายมางงเอาตรงที่ address ใน ad เค้าเขียนว่า Amnesty.com
ในขณะที่ site จริงของ Amnesty คือ Amnesty.org เลยไม่รู้ว่ามันยังไงกันหล่ะหว่า
ขอตัวไปเย็บผ้าแล้วกันนะ
ภาพผ่าน
ข้อความคือ
AFTER THE OLYMPIC GAME, THE FIGHT FOR HUMAN RIGHTS MUST GO ON.
ในฐานะคนเคยทำ ad เห็น ad นี้แล้วอกหักบอกไม่ถูก...มันอึ้ง ซึ้ง นึ่งเหนียว มันมีทั้งความจริง ความไม่จริง ความไม่จำเป็น และความจำเป็น ของทั้งคนทำ ad และเจ้าของผู้สั่งทำ(ขอใบบัวบกไร่หนึ่งจะเคี้ยวให้หมดไร่...เจ็บอก)
สุดท้ายมางงเอาตรงที่ address ใน ad เค้าเขียนว่า Amnesty.com
ในขณะที่ site จริงของ Amnesty คือ Amnesty.org เลยไม่รู้ว่ามันยังไงกันหล่ะหว่า
ขอตัวไปเย็บผ้าแล้วกันนะ
ภาพผ่าน
Subscribe to:
Posts (Atom)